วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2560

การเริ่มเรียนจะเริ่มอย่างไรดี

                                                                 การเริ่มเรียนจะเริ่มอย่างไรดี
ก่อนจะถึงเรื่องเนื้อหา สิ่งที่ต้องทำคือ วิเคราะห์ตัวเองว่า อาการเป็นอย่างไร เหมือนหมอวินิจฉัยคนไข้ หมอต้องถามคนไข้ว่าเป็นอะไร อาการเป็นอย่างไร แต่หมอก็ไต้องถามก่อน เมื่อคนไข้เล่าอาการให้ฟังแล้ว หมอจึงจะสามารถจัดยา หาวิธีรักษาให้ถูก แต่การเรียนภาษามันไม่ได้ยากสลับซับซ้อนเหมือนการรักษาคนไข้ แค่ผู้เรียนต้องรู้ว่าตัวเองนั้นมีปัญหาอยู่ตรงไหน เช่น ผู้เรียนอายุอานามเท่าไรแล้ว กลุ่มที่อายุมากก็ต้องทำใจไว้เลยว่า ยิ่งอายุมาก ก็ยิ่งเริ่มยาก บอกไปตามตรงก็ได้ว่า หาเวลาไปทำอย่างอื่นที่เหมาะกับวัยและเวลาที่เหลืออยู่เถอะเพราะไอ้การจะมานั่งเรียนรู้ภาษาใหม่ๆนั้นมันไม่ได้ผลแถมเป็นภาระกับผู้เรียนและญาติพี่น้องเพิ่มขึ้นไปอีก เปรียบไปเหมือนคนป่วยเป็นมะเร็ง จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ เอาเวลาไปทำบุญ เที่ยว หรือทำอะไรก็ได้ที่มันทำให้ไม่เครียด แต่ถ้าว่างจัด ก็ต้องสอนให้ท่านเล่นไอแพด ไอโฟน แบบจอใหญ่ๆ เลือกเอาfunction แบบง่ายๆ หรือสอนให้เล่น line จะวาดลวดลายอะไรก็เอากัน
กลุ่มที่สองก็คือ กลุ่มที่ยังเด็ก กลุ่มนี้มีศักยภาพในการเล่าเรียนสูง ก็ให้ฟังการออกเสียง A ถึง Z ไปแบบนั้น โดยให้ใช้ประโยชน์จากความทันสมัยของเทคโนโลยี่ โดยที่มีพ่อแม่เป็นคนคอยสอน อย่าเรียกว่าสอนเลย เอาเป็นว่ามาใช้เวลากับลูกแทนที่จะเอาไปเล่นเกมส์ ทำง่ายๆ ก็เปิด you tube ที่มีอยู่เกลื่อน เลือกเอาที่ลูกเราชอบ ไม่ใช่เราชอบเพราะคนที่ต้องเรียนคือลูก ให้ฟังไปเรื่อยๆ แต่อย่าไปบังคับหรือขู่เข็ญ ออกเสียงตามไปจนผู้เรียนชิน กลุ่มนี้จะสนุกเพราะได้ยินเสียงจากเจ้าของภาษาจริงๆเลย กลุ่มนี้เรียนได้เรื่อยๆ จาก A – Z พอเขารู้แล้ว ก็เริ่มสอนคำศัพท์จาก you tube เช่นเดิม เริ่มสิ่งง่ายๆใกล้ตัวก่อน อะไรบ้างที่ใกล้ตัว ก็เป็นพวก หา ปาก ไหล่ เท้า ฟัน แล้วก็ค่อยๆพัฒนาการเรียนรู้เรื่อยไป เช่น บ้านเรียกว่าอะไร ของในบ้านที่ใกล้ตัวเขา เช่นของในห้องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น ห้องทานอาหาร เอาแบบเน้นศัพท์ก่อน การพัฒนาการนั้นไม่มีใครรู้หรอกว่าผู้เรียนจะเรียนได้ขนาดไหนและชอบมากเพียงใด ผู้สอนเท่านั้นจะประเมินได้ ทำให้ติดจนเป็นนิสัยและไม่นานค่อยเริ่มประโยคง่ายๆ แค่นี้คุณประสบผลสำเร็จในการสอนลูกแล้ว
และเมื่อโตขึ้น ทีนี้จะให้ไปเรียนพิเศษกับฝรั่งตัวเป็นๆ ก็ทำไป หากมีเงินถุงเงินถังให้ถลุง ก็ดีกว่าเอาไปทำอย่างอื่น หรือใครมีมรดกกองใหญ่ ก็เอาเข้าโรงเรียนที่สอนสองภาษา สองภาษาที่ว่านี้คือ เด็กนานาชาติเขาอยู่กัน ไม่ใช่เด็กไทยอยู่กันเพียบที่เหลือสองสามคนเป็นฝรั่ง (ครู) แบบนี้ก็ไม่ควรไปเสียเวลากับมันเพราะมันผิดธรรมชาติ แบบนี้เก็บเงินไว้ดีกว่าแล้วให้ไปเรียนพิเศษกับฝรั่งพอให้รู้ว่า เราได้เจอฝรั่งนะเฟ๊ยะ และก็ได้ความมั่นใจว่า ถ้าเจอฝรั่งตัวเล็กตัวใหญ่ ไม่ออกอาการกลัว ก็โอเคแล้ว จะไปเรียนตามสถาบันสอนภาษาพวก AUA หรือ British Council ก็เลือกเอา แต่อย่าคาดหวังอะไรมากเพราะการเรียนแบบนี้ใช้ภาษาอังกฤษเฉพาะแต่ในห้อง พอออกมาก็เว้าไทยกันสนั่น แบบนี้ ผู้ที่ทำเงินส่งลูกเรียนแบบเหนื่อยสายตัวแทบขาด อย่าทำ มันไม่คุ้ม เอาเวลาไปเรียนทักษะอย่างอื่นที่มันดีต่อตัวเด็กในแง่ของการพัฒนาการทางอารมณ์จะดีกว่า เช่น ไปเรียนดนตรีไทย ที่เน้นดนตรีไทยก่อนไม่ใช่เพราะต้องการอนุรักษ์ของไทย แต่มันทำให้เรามีความต่างจากคนอื่น พอโตขึ้น เกิดจับพลัดจับผลู มีคนเขาอยากให้ทุนการศึกษา เราจะได้มีของไทยดีๆไปอวดเขา ไม่ว่าจะเป็นขลุ่ย ตะเข้ ขิม กลอง ฉาบ อะไรที่เป็นไทยๆ ก็เลือกไว้ก่อน ส่วนพวกดนตรีฝรั่งเช่น กีต้าร์ เปียโน หรือพวกที่ต้องใช้เงินทุนสูงและต้องจ้างครูแพงๆมาสอน แบบนี้เอาไว้เป็นทางเลือกที่สอง หรือจะพาไปเต้นรำ ร้องแหล่ หมอรำ ลิเก ทำได้ก็ทำ ส่วนกลุ่มที่ต้องการเรียนแบบไฮโซ เช่น เต้นบัลเล่ห์ นั่นก็เป็นเรื่องของภาวะทางเศรษฐกิจของผู้สนับสนุนการศึกษา เขาจะรู้ตัวเองดีว่า อยากให้ลูกเรียนรู้อะไร
เรามาดูผู้เรียนกลุ่มที่อายุยังไม่มากแต่ตลอดเวลามาเท่าที่จำความได้ เรียกภาษาแบบเน้นไวยากรณ์ แล้วพูดไม่ได้ พวกนี้ อายุยังน้อย พอแก้ไหว มีทางให้เลือกสองทางคือ เรียนแบบธรรมชาติไปเลย เอาโทรศัพท์รุ่นที่มี function มากหน่อย แล้วก็โหลดรูปภาพ ข้อความมาลง สนใจเรื่องอะไร ศัพท์แสงเกี่ยวกับอะไร ก็จัดเต็ม เอามาฟังทุกวัน วันละหลายชั่วโมง หรือเท่าที่จะสามารถทำได้ เอาแบบเน้นๆเนื้อๆ ค่อยๆฝึกฟัง ฟัง ฟังจนเข้าไปฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกเลย พวกนี้จะพัฒนาเร็วมาก แต่จะมีเฉพาะข้อมูล พอข้อมูลเรามากพอ มากพอชนิดที่เรียกได้ว่า ฟังรู้เรื่อง แล้วพูดตามได้ เมื่อความรู้ถึงระดับนี้ จึงค่อยไปหาที่เรียนกับฝรั่งที่เป็นกลุ่ม หรือจะเรียนตัวต่อตัวไปก่อน อันนี้สุดแล้วแต่ การเรียนตัวต่อตัวนั้นดีอย่างเดียวคือ ไม่มีใครมาแซว แต่จะเหงาเพราะเหมือนเราทำอะไรอยู่คนเดียว มันออกจะเบื่อ แต่ถ้าเรียนเป็นกลุ่ม ก็จะดีอย่างหนึ่งคือ มันประหยัดเงินเรา แต่อย่าไปคาดหวังอะไรมันมาก เพราะกลุ่มหนึ่งมีนักเรียนไทยร่วม 20 ครูฝรั่งหัวแดงเพียงคนเดียว เข้าไปนั่งเรียนสองชั่วโมง พูดได้ไม่กี่ประโยค ก็หมดเวลา แบบนี้ เราต้องทำใจเลยว่ามันจะได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้นแต่ผู้เรียนจะได้เพื่อนมากขึ้น สถาบันสอนภาษาใหญ่ๆจะมีพวกทีวี และภาพยนตร์ สารคดี หนังการ์ตูน เอาไว้ให้บริการ ก็ใช้ประโยชน์จากตรงนี้แหละ ข้อดีของการเรียนกับฝรั่งก็คือ เราจะชินและสามารถตีซี๊ พยายามซื้อของติดไม้ติดมือมาฝากได้ก็จะดีไม่น้อย หรือไปเที่ยวที่ไหนมาก็ซื้อภาพสวยๆมาให้แล้วก็หัดเขียนข้อความลงไป แต่อย่างน้อยมันก็แสดงน้ำใจได้ในระดับหนึ่งแหละ ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของการไปเรียนภาษาก็คือ จะได้อีเมล์ ซึ่งเป็นช่องกทางการติดต่อที่สำคัญในแง่ของการเขียน ยิ่งคุณสามารถหาคนต่างชาติ จะเป็นฝรั่งหรือเศษฝรั่งก็เอามาเถอะ แล้วก็หมั่นเขียนอีเมล์โต้ตอบกันทุกวันให้เป็นนิสัย หากโชคดีเจอฝรั่งพวกที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ โชคดีใหญ่ แต่เราต้องขยันนะ เรียกว่าติดตรงไหน เอาไปถามผู้รู้แล้วก็เอามาตอบ หรือเขียนอะไรผิดๆไป บางคนเขาช่วยแก้ให้ด้วยก็ยิ่งโชคดี คำถามต่อมาก็คือ แล้วจะถามอะไรดี โธ่เอ๊ย ของแบบนี้ต้องใช้จิตวิทยาหน่อย เราต้องรู้ว่าคนที่เราติดต่อด้วยเขาเป็นคนจากซีกโลกไหน ประเทศไหน อยู่แห่งหนตำบลใด ก็หาข้อมูลใน goggle เอามาเขียนถาม หรืออาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวแบบทั่วไปก็ได้เช่น ชอบกีฬา ชอบนักร้อง หรือเพลงอะไรที่มันสากลหน่อย แบบนี้จะต่อติดกันเร็วขึ้น แต่อย่าไปถามเรื่องต้องห้ามเช่น พวกศาสนาความเชื่อ การเมือง พวกนี้เลี่ยง นอกนั้นก็คุยได้หมด คิดซะว่าเหมือนคุยกับเพื่อนที่อยู่ต่างแดนที่มีความคิดความอ่านความเชื่อที่แตกต่างจากเรา ก็เรียนรู้กันไป เผลอๆ เขาติดใจขอมาเมืองไทย มาเที่ยว ก็ยิ่งดี เพราะเราจะได้มีโอกาสใกล้ชิดกับฝรั่งมากแบบกินนอนเที่ยวด้วยกัน ภาษาก็จะพัฒนาเร็วเหมือนรถไฟฟ้าเลย
กลุ่มที่เบี้ยน้อยหอยน้อย แต่พอมีมือถือที่ทันสมัย ก็ทำตามแบบที่กล่าวมาหรือจะเรียนแบบสองทางก็คือ เอาทฤษฏีบ้าง ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้เรียนไม่รู้อะไรเลย แล้วให้ไปเรียนแบบวิธีธรรมชาติ พวกนี้จะได้ภาษาพูดเป็นส่วนใหญ่และใช้เวลาเช่น เจอคำว่า table ออกเสียงตามที่ได้ยินจาก you tube ว่า เท เบิ้ล ก็ทำได้ แต่ถ้าคนไหนต้องการทฤษฏี ก็สามารถไปหาหนังสืออ่านเอาเองได้ ส่วนที่อาจารย์เขาเขียนไว้คือ อ่านออกเสียงอย่างไรให้เจ๋ง ก็จะเป็นการปูพื้นความรู้ว่า ตัว A ออกเสียงอย่างไร ตัว ch มันตรงกับเสียงอะไรของชาวไทย หลังจากนั้นก็หัดเอาไปผสมคำแล้วอ่านพร้อมทั้งเปิดดู you tube ด้วย แบบนี้จะเห็นการออกเสียงชัดขึ้น เพราะในหนังสือเล่มนี้เขาจะบอกปัญหาที่คนไทยเจอและรู้การออกเสียงแบบอเมริกัน ห้ามอ่านทีเดียวจบเล่มเพราะมันจะมึน เอาไปแค่วันละเสียงสองเสียง อีกหน่อยก็ลุยเองได้ เพราะจะรู้ว่า ออกเสียงเน้นตรงไหน คำไหนที่ไม่ออกเสียงหรือการออกเสียงเป็นประโยค เป็นข้อความยาวๆนั้นต้องทำอย่างไร ลองไปซื้ออ่านกันดู ไปดูก่อน ถ้าไม่ถูกจริต ก็ไม่ต้องซื้อมาให้มันเสียเงินเสียทอง
เมื่อเราเริ่มต้นดี แบบนี้ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว ต่อจากนั้นก็ต้องหาหนังสือไวยากรณ์มาประดับไว้หน่อยเอาแบบที่อธิบายหลักแล้วมีแบบฝึกหัดเพียบ แบบนี้เล่มไหนก็ใช้ได้ทั้งนั้น ยกเว้นไอ้ที่เอาแต่ทฤษฏีแล้วไม่ให้อะไรเรามาเลย แบบนี้เลี่ยงด่วนแม้รูปลักษณ์สีสันจะถูกใจแต่จะไม่ได้อะไรมากนอกจากได้เพลิดเพลินกับความสามารถในการทำหนังสือของสำนักพิมพ์ เล่มที่ตัวอาจารย์เขียนก็มี คัมภีร์การเขียนเบื้องต้น ที่มีการอธิบายหลักการและมีแบบฝึกหัดพร้อมเฉลยในตัวเสร็จ เพราะเน้นการเรียนรู้ด้วยตนเอง เรียกว่าเตรียมตัวเองให้พร้อมก่อนไปเจอฝรั่ง เราต้องมีอาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมก่อนไปเจอของจริง เช่นกัน ถ้าไม่ไว้ใจกันก็ไปเปิดอ่านดูก่อน แล้วค่อยควักเงินซื้อ ถ้าไม่ชอบหรือไม่ถูกกับจริตของเรา ก็ไม่ต้องซื้อ ง่ายจะตาย ชีวิต นั่งเรียนยืนเรียนนอนเรียนกันไปเพราะเราต้องตระหนักให้ดีว่า เราไม่มีเพื่อนที่เป็นฝรั่ง และเราไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษกับเราได้ตลอดเวลา ยิ่งอยู่กับคนไทยก็ไม่ต้องพูดถึง พูดไทยกันสนั่นเมือง เราค่อยๆสั่งสมความรู้ไว้ ทำมันไปทุกวันจนวันหนึ่งเราจะรู้ตัวเองว่า เฮ๊ย เรามันก็หนึ่งในตองูนี่หว่า วันที่เรามีข้อมูลที่ถูกต้องและหลากหลาย วันนั้นหรือวันไหน เราก็ไม่กลัวฝรั่ง
การเรียนภาษาอังกฤษในปริบทไทยมันยากส์เพราะเราไม่มีโอกาสได้เจอฝรั่งเลย ถ้าเจอแล้วเราไม่พูด ก็เหมือนกับไม่ได้เจอ หรือ ถ้าไปเรียนกับฝรั่งแล้วไม่มีอะไรคุยกับเขา ยิ่งแล้วใหญ่เพราะต่างคนต่างเบื่อ ลองนึกดู วันๆพูดแต่เรื่องเดิมๆ ว่าสบายดีไหม วันนี้ไปไหนมา กินข้าวที่ไหน อะไรทำนองนี้ ฝรั่งเขาก็เบื่อ แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่เบื่อก็คือ เขาต้องหาเงินมาใช้ ลองให้ไปอยู่ข้างนอกซิ เขาก็ไม่พูดอะไรกับเรามากหรอก ขอให้รู้ไว้เถอะว่า เราจะไม่มีวันพูดได้เลยถ้าเรามีข้อมูลในการพูดน้อย ถึงแม้คุณมีเพื่อเป็นฝรั่งแต่ถ้าคุณหาเรื่องคุยไม่ได้หรือมีสิ่งที่น่าสนใจน้อย มันก็จะไม่อยากจะสื่อสาร พอนึกออกไหม เวลาคนเขมรพูดภาษาไทยแล้วเราฟังไม่รู้เรื่อง จะถามอะไรเขาก็ไม่รู้ พูดอะไรไปเขาก็ไม่เข้าใจ อารมณ์เดียวกันเลยนั่นแหละ แต่ที่เราเห็นฝรั่งมาพูดกับคนไทยไม่ว่าที่ไหน เราจะรู้สึกปลื้มแม้ฝรั่งออกเสียงผิดๆถูกๆ เราก็ให้อภัยเขา เขายิ่งอยากเรียน ยิ่งเขาถามอะไรเรา เรายิ่งชอบ นั่นเป็นเพราะคนไทยน่ารัก แต่ในสถานการณ์กลับกัน เราไปถามโน่นถามนี่กับฝรั่ง ฝรั่งเขาไม่มานั่งตอบเราหรอกเพราะฝรั่งเขาไม่ชอบมานั่งเสียเวลาในลักษณะนั้น และฝรั่งเขาสอนให้คนของเขาเป็นพวกหมั่นแสวงหาความรู้ คุณรู้ไหมว่าฝรั่งที่ต้องการพูดภาษาไทย เขาไม่ใช่พวกที่ไม่มีการอ่านหนังสือเกี่ยวกับภาษาไทยนะครับ เขาเตรียมการบ้านมาพอสมควรแต่ไอ้ที่เห็นเขาพยายามพูดกับคนไทยนั้น เขาเอาทฤษฎีที่เขาเรียนมาใช้ สิ่งที่จะช่วยให้เราพูดภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นก็คือ แกล้วทำตัวเป็นคนดี ไปฝึกสำนวนเรื่องการบอกทาง บอกตำแหน่งแห่งที่ให้ดีๆ แล้วไปตามสถานที่ท่องเที่ยวที่มีฝรั่งมาชุมนุมกัน พวกนี้เขามีแต่ความรู้ในหนังสือ แต่เอาเข้าจริงเขาก็งงเพราะเมืองไทยเป็นเมืองที่น่างุนงงในทุกเรื่อง การที่เราอาสาบอกทางหรือจะพาเดินไปส่ง หรือเขาอาจมีน้ำใจชวนกินข้าวกินปลาด้วย แบบนั้นสุดยอด ถ้าถูกใจถึงขั้นแลกอีเมล์หรือเบอร์โทรกัน รับรองว่าภาษาคุณมีแววแล้ว



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น