วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2560

Sixth Sense


Sixth Sense
เป็นความเดิมต่อจากตอนที่แล้วว่า คนที่มี gut feeling เป็นคนที่มีลางสังหรณ์อะไรทำนองนั้นแต่ก็ได้เผลอเขียนคำว่า sixth sense ลงไป ก็เลยต้องมาต่อให้มันจบๆกันไปจะได้ไม่ค้างคาใจของคนหลายคน อันว่า sixth sense หรือที่เรารู้จักมันว่า สัมผัสที่ 6 นั้นก็คือประสาทสัมผัสทั้ง5 ของคนเรา จับ รูป รส กลิ่น เสียง มันทำงานไปไม่ถึง ก็ต้องใช้ประสาทที่6 นี่แหละเข้าไปช่วย คำนี้จึงมีที่ใช้ค่อนข้างมาก ยิ่งเวลาเกิดอะไรขึ้นโดยที่คนเขาไม่รู้กันแต่มีเพียงบางคนที่รู้ ก็นั่นเลย เป็นหน้าที่ของเขาแหละ เช่น
She seems to have a sixth sense for knowing where her son is.
= เธอมีสัมผัสที่หก ที่รู้ว่าลูกอยู่ที่ไหน
Her sixth sense told her that something good will happen to her.
= ประสาทสัมผัสที่6 บอกเธอว่าสิ่งดีจะเกิดกับเธอ
A sixth sense told me that the there was an earthquake in Thailand.
= ประสาทสัมผัสที่ 6 บอกฉันว่าจะมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นในประเทศไทย
ไหนไหนก็ไหนไหนแล้ว อยากให้เห็นว่าคำว่า sense นั้นมันมีที่ใช้มากมายก่ายกองนัก เราพอจะคุ้นๆกับสำนวนที่ว่า เรื่องนี้มันไม่ make sense เลย
คำว่า to make sense ก็คือ สมเหตุสมผล มันเข้าท่า สามารถเข้าใจด้วยเหตุผล
I don’t think the new rule makes sense.
= ฉันไม่คิดว่ากฎใหม่นี้มันจะเข้าท่า
และสำนวน
It makes sense (for someone ) to do something .
ก็จะหมายถึงว่า สิ่งที่จะทำนั้นมันเข้าท่าหรือมีเหตุมีผลดี เช่น
It makes sense for everyone to save money for a rainy day.
= ก็สมเหตุสมผลที่ทุกคนต้องเก็บเงินไว้ยามลำบาก
for a rainy day = ยามลำบาก
The project she is working on does not make sense to me.
= โครงการที่หล่อนทำอยู่มันไม่เข้าท่าเลย
Would it make sense for the city governor to allow trucks in city during rush hours?
=คุณคิดว่ามันเข้าท่าไหมเนี่ยะที่ผู้ว่าอนุญาตให้รถบรรทุกวิ่งในเมืองตอนชั่วโมงเร่งด่วน
Why did she do a thing like that? It doesn't seem to make sense.
= ทำไมเธอทำแบบนั้น ฉันว่ามันไม่เข้าท่าเลย
The constant pursuit of knowledge really makes sense to me.
= การหมั่นแสวงหาความรู้อย่างสม่ำเสมอนั้น ฉันว่าเข้าท่าดี
เอาล่ะ ขอปิดท้ายด้วยสำนวนที่ชอบมาก่อตัวกันแล้วทำให้เกิดภาษาที่น่าใช้ เช่น
My son has a sense of responsibility.
= ลูกชายผมเขามีความรู้สึกรับผิดชอบ
และสิ่งที่ควรปลูกฝังไว้ในตัวเด็กและตัวเราก็คือ a sense of humor = อารมณ์ขัน ถ้าใครไม่มีตัวนี้ สมัยนี้อยู่ลำบาก หน้าก็จะแก่เร็วจนจำหน้าตัวเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามทำตัวเองให้มี a sense of humor เอาไว้เยอะๆ เช่น I like to talk to teenagers because they have a sense of humor. ฉันชอบคุยกับวัยรุ่นเพราะพวกเขามีอารมณ์ขันดี
คำว่า sense นี้ คุณจะเห็นมันเพ่นพ่านเต็มไปหมดเพราะมันเป็นคำที่ดีและยิ่งมันมาปรากฏอยู่หน้าคำนามที่แสดงความรู้สึกหรือารมณ์มันยิ่งทำให้ภาษาคุณดีขึ้นไปอีก เช่น
A sense of guilt = ความรู้สึกสำนึกผิด
A sense of belonging = ความรู้สึกว่าได้เป็นเจ้าของด้วยกัน ซึ่งจะทำให้ลูกจ้างมีความสุข ขยันขันแข็ง ทำงานแบบถวายชีวิต
It’s very important for employees to have a sense of belonging.
= สำคัญมากที่พนักงานจะต้องมีความรู้สึกของความเป็นเจ้าของด้วย (ไม่งั้นจะเกิดอาการทำแบบซังกะตาย เผลอๆ ตายทั้งเจ้าของและพนักงานในคราเดียวกัน)
A sense of direction = มีความสามารถเรื่องการจำทิศจำทางได้ดี ประโยคที่ชอบใช้ก็คือ
My sense of direction is pretty bad.
= เรื่องทิศเรื่องทาง อย่ามาถาม โง่มาก ถ้าใครมีอาการเดียวกันก็เอาไปใช้ได้เลย
และสุดท้ายคือ common sense หมายถึง สามัญสำนึก ส่วนใหญ่ใช้ด่ามากกว่าชม
You just use common sense to move this luggage .
= แค่ใช่สามัญสำนึกก็ย้ายกระเป๋าเดินทางพวกนี้ได้แล้ว
หรือเห็นอะไรๆที่มันใช้แค่สามัญสำนึก ก็พูดไปเลยว่า It is a matter of common sense.
หรือ ต้องการจะบอกว่า เฮ๊ย ใช้หมองหน่อย เราก็ใช้ว่า Use common sense. แต่ถ้าไม่มีก็เป็นอีกเรื่อง ต้องหาคำอื่นมาชื่นชม
และคำว่า sense ที่เป็นกริยา ก็ใช้ตามหลังประธาน เช่น
I sense some danger when I see my father.
= ฉันรับรู้ได้ถึงอันตรายเมื่อฉันเห็นพ่อแล้ว (แสดงว่าทำอะไรไม่ดีอยู่)
I could sense that the lecture is boring.
= ฉันสามารถรู้สึกได้ว่าการบรรยายนั้นน่าเบื่อ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น