วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2560

ปัญหาโลกแตก ตอน 3

ปัญหาโลกแตก ตอน 3
ปัญหาที่สำคัญที่สุดในการเรียนภาษาก็คือ หาโอกาสใช้ไม่ได้ ถ้าเรียนมามากมายแล้วไม่มีที่ให้ใช้ คำถามต่อมาก็คือ แล้วจะเรียนไปทำไมกันให้เสียเวลา อันนี้ต้องไปหาที่ใช้กันเอาเอง ถ้าหาไม่ได้ ก็พูดกันเอง แต่มันจะออกแปลกๆ ทักษะที่เราสามารถฝึกเองได้คือ การเขียน เอาหนังสือดีๆมาสักเล่ม ฝึกเขียนไปมาทุกวัน รับรองมันจะทำให้ภาษาของคุณดีขึ้นอย่างแน่นอน ลองไปหามาทำดู เราก็ต้องสมมตตัวเองว่าเป็นเด็กน้อยอายุ1 ขวบ เหมือนเด็กที่อยู่ในท้องแม่ คลอดออกมากว่าจะพูดภาษาได้โน่นเลยปีที่ 2 แต่พอพูดได้ พูดไฟแลบเลย นั่นคือการเรียนแบบธรรมชาติสุดๆ เราก็ต้องทำตัวเยี่ยงนั้นเพราะเราไม่มีข้อมูล ไม่มีสำนวน ไม่มีการออกเสียงที่ถูกต้อง มันก็ต้องเหนื่อยหน่อยแต่ก็คุ้มเพราะจบออกมาได้งานแน่ถ้าภาษาอังกฤษดี ไอ้พวกที่เรียนในคณะแบบสายศิลป์ พวกบริหารธุรกิจ นิเทศ อักษรศาสตร์ ครุศาสตร์ พวกนี้จบมาภาษาต้องดี ไม่งั้นตกงานสถานเดียวเพราะมันเป็นความรู้ที่ไม่ต้องเรียนมากก็ได้ กลุ่มบัณฑิตที่จบทางวิศวะ เภสัช หมอ พวกนี้เขาหัวดี เขาเรียนรู้ได้เร็ว ขึ้นอยู่กับว่าจะมาเอาดีทางด้านนี้ไหม ก็ขนาดร่างกายมนุษย์ยังรู้อะไรอยู่ที่ไหน ทำหน้าที่ยังไง แล้วไอ้ภาษา มันก็เรื่องกล้วยๆเลยของพวกเขา ในโลกที่ทุกอย่างอยู่แค่มือถือ ใกล้มาก ใครจะไปรู้ว่าเราสามารถโอนเงินผ่านทางมือถือได้ จากเมื่อก่อนต้องไปให้เจ้าหน้าที่ทำ ตอมาพัฒนาเป็นเครื่องกดเงินสดทำ เดี๋ยวนี้เป็นไง ทุกอย่างขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว คนไหนที่ไม่ปรับตัว ก็จะเป็นเสมือนเครื่องพิมพ์ดีดที่ต้องรวมกลุ่มกันอยู่รอวันขึ้นสนิม การเรียนภาษาอังกฤษที่นำเสนอโดยอาจารย์เก่งๆ ไปดูได้ ร้อยทั้งร้อย เขามีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษเยอะมาก บางคนมีสามีหรือภรรยาเป็นฝรั่ง คนกลุ่มนี้ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเป็นห่วงเขา หรือคนที่ต้องคลุกคลีกับฝรั่งเกือบทั้งวัน พวกนี้ภาษาเขาไม่ต้องพูดถึง ภาษาเขาขั้นเทพไปแล้ว และฝรั่งที่มาอยู่เมืองไทยนานๆ เช่นคุณ ANDREW BIGGS , อ. อาดัม อ. คริส หรือคนที่ดำเนินรายการ ENGLISH BREAKFAST ไปตามดูประวัติของเขาได้ ต้องมีอยู่ในเมืองไทยและเมืองนอกนานพอควร นานพอที่ภาษาจะซึมเข้าไปในสายเลือด อย่าไปเปรียบเทียบกับเขาเหล่านั้นเพราะเขาคือเหล่าปรมาจารย์ตั๊กม๊อแล้ว พวกเรามันแค่ลูกศิษย์วัดเส้าหลินที่เพิ่งจะโกนหัวเข้าวัด อีกนาน ก็ทำไงได้ ทำได้แต่แสดงความเห็นใจพวกเราตาดำๆ จะทำยังไงดี ไม่มีทางอื่นนอกจากใจกล้าและก็หน้าด้านด้วย ถ้าหน้าไม่ด้าน งานนี้ไม่สำเร็จเป็นแน่แท้ เราก็ต้องมานั่งคิดดูว่า ที่ไหนที่ฝรั่งชอบมา ก็ตามสถานที่ท่องเที่ยวของเราไง แต่ไม่ใช่จู่ๆ จะไปขอเขามาเป็นเพื่อน คงยากส์ นอกจากพวกที่แบกเป้มาเที่ยวก็ยังพอไหว แต่เราก็ต้องเตรียมข้อมูลนะ ไม่ใช่ไปตายเอาดาบหน้า เราอยากฝึกสำนวนเกี่ยวกับอะไร ก็ไปหาอ่านหาฟังกัน แล้วพอความรู้ได้ที่ ความกล้าเข้ามาสิงแล้ว ก็พากันไปสักสองสามคนไปช่วยฝรั่งที่ดูหลงๆ แบบนี้จะได้ทั้งความประทับใจและมิตรภาพ นอกจากนี้ ยังสามารถฝึกภาษาเขียนได้จากอีเมล ซึ่งตามเว็บเขามีให้หาเพื่อนเขียนหากัน นั่นเป็นอีกแหล่งหนึ่งของการเรียนรู้ภาษา เราอย่าไปรู้สึกว่า เฮ๊ย คนนั้นพูดไฟแลบเลยว่ะ เราเลยจินตนาการเอาเองว่า อันตัวเรานั้นมันอาภัพได้ขนาดนี้เชียวหรือ อย่าเอาตัวเราไปเปรียบกับคนที่เขาเก่งแล้วเพราะคนกลุ่มนั้นเขามีโอกาส โอกาสอีกอย่างหนึ่งก็คือ พากันไปเที่ยวต่างประเทศที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แล้วไปหาที่เที่ยวกันเอง ถามทางเอง นั่นก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง เพราะฉะนั้นขอสรุปตรงนี้เลยว่า ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือโอกาส โอเคไหมครับ มีอีกหนึ่งวิธีที่เราสามารถเรียนรู้ได้โดยพึ่งตัวเอง นั่นคือ จินตนาการ เช่น เราเรียนคำศัพท์หรือสำนวนและไวยากรณ์เกี่ยวกับการบรรยายสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ณ ตอนนี้ เราก็รู้ว่าโครงสร้างคือ is / am / are + v. ing เราก็มานั่งเอาสำนวนไปใส่ เช่น ฉันกำลัง ก็ใช้ว่า I am sitting. เขากำลังยืน ก็นึกในใจว่า He is standing. หัวไปรอบๆตัว เห็น เด็กๆกำลังเล่นฟุตบอลอยู่ ก็นึกไปซิว่า The children are playing football. กลับบ้าน อาบน้ำ ก็นึกไปซิว่า I am taking a shower. แบบใช้ฝักบัวอาบ ไอ้พวกอาบจากโอ่งจากไห ก็นึกไปว่า I am taking a bath. ออกมาจากห้องน้ำเห็นแม่กำลังทำครัวอยู่ ก็นึกไปซิว่า Mom is cooking dinner. เห็นไหมว่า เราสามารถมโนเองได้ และเป็นการมโนแบบได้ประโยชน์ ไม่ใช่มานั่งมโนสิ่งที่มันไร้สาระ ปัญหาคือ เราต้องรู้คำศัพท์ที่มันเกี่ยวกับการทำกิจกรรมมากๆ เมื่อเรามีสมองมีจิตนาการ เราก็ต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์ เอาปากกาพร้อมกระดาษ แล้วเขียนคำศัพท์ที่อยากรู้ ตัดมันออกมา เอาไปตามสิ่งของนั้นๆ เช่น เอาคำว่า bed ไปติดไว้ที่เตียง หรือเอาคำว่า bookshelf ชั้นวางหนังสือไปติดไว้ที่ตรงสิ่งของนั่น ไปหาดูพจนานุกรมที่มีภาพหรือไม่ก็เอาจากมือถือนี่แหละ ป้อนคำที่อยากรู้ลงไป เดี๋ยวมันก็ส่งเสียงเจื้อยแจ้วให้เราฟัง เราก็จดออกมาแล้วก็ออกเสียงตาม รับรองไม่นานเห็นความเปลี่ยนแปลงแน่ เรียกว่างานนี้ มโนล้วนๆ เห็นอะไรไม่ได้ต้องพยายามนึกให้เป็นภาษาอังกฤษ เห็น ครู ก็ teacher เห็นเสาธง ก็ flag pole เห็นยางลบก็ eraser กระดาษก็ paper น้ำยาลบคำผิด ก็ correction fluid เห็นตัวหนีบกระดาษก็ stapler ดินสอ pencil ที่บ้านเห็นตู้เย็นก็นึกถึง a fridge แล้วของพวกนี้นะ เห็นมันทุกวัน ตึกรามบ้านช่องก็นั่งรถผ่าน เห็นก็ให้นึกเป็นภาษาอังกฤษไว้ ผ่านโรงพยาบาลก็ hospital โรงแรมก็ hotel โรงศพ ก็ coffin โรงหมอนวด ก็ massage parlor อย่าลืมเช็คคำอ่านด้วย ทุกครั้งที่เจอคำใหม่ๆ
ไม่ใช่ไปออกเสียงว่า เมสเซส ละก้อ แบบนี้วงแตกตัวใครตัวมันmessage อ่านว่า เมส ซิจ อันนี้คือ ข้อความ ส่วนโรงอาบอบนวดออกเสียงว่า เหมอะ สาจ พาเลอ แบบนี้ก็ต้องใส่ใจ รู้จักสังเกต อยากรู้นักว่า สิบปีที่ทำแบบนี้ ภาษามันจะไม่ซึมเข้าไปในหัวบ้างเชียวหรือ ขอให้ใช้มโนเยอะๆ แล้วคุณจะเห็นปาฏิหาริย์ของมโน ค่อยเป็นค่อยไป อยากรู้อะไร ในห้องนอนมันมีของอะไรบ้าง หมอน ฟูก ผ้าห่ม ห้องนั่งเล่นล่ะ มีอะไรน่าสนใจเรียนรู้บ้าง ห้องน้ำ ก็มีโถ สบู่ ยาสีฟัน แปรงฟัน อ่างล้างหน้า ไปในห้องครัวซิ เจอมีด เจอครก สาก เรียกว่าอยากเรียนรู้อะไร ก็มาเตรียมตัวในห้องเราก่อนท จากนั้นเมื่อพยายามเรียนรู้ศัพท์ได้แล้ว ก็เดินเข้าไปตามห้องต่างๆ แล้วก็นึกเอา ลองทำดู ไม่ทำไม่รู้ เอ้อ ลืมบอกไป เวลาไปห้างสรรพสินค้า คนที่ชอบซื้อของ ก็จดของเป็นภาษาอังกฤษไปเลย เช่น บะหมี่สำเร็จรูป 1 ห่อ ก็ one pack of instant noodles , น้ำตาลทราย 2 ถุง ก็ two bags of sugar นมข้นหวานสองกระป๋อง two cans of sweetened milk มะม่วงดอง 2 ขีด ก็ 2 grams of preserved mangoes ปลาล้า 1 ห่อ ก็ one pack of fermented fish จะบอกให้ก็ได้ว่า เดี๋ยวนี้โลกเรากำลังจะเป็นสากล เราก็จะก้าวเข้าสู่ AEC เพราะฉะนั้น ของทุกอย่างในห้างมันจะมีภาษาอังกฤษติดอยู่ทั้งนั้น ถ้าไม่รู้ซื้อมาศึกษาก่อนว่า ไอ้นั่นเรียกว่าอะไร ไอ้นี้เรียกว่าอะไร แล้วทุกครั้งคุณก็เป็นคนจดรายการข้างของที่จะซื้อ ทำมันสักหนึ่งปี ถ้าไม่มีอะไรดี ยอมให้เข็กหัว (เข่า) 10 ที
อย่าไปคิดว่าเป็นงานของผู้หญิงเขาทำ ผู้ชายไม่ต้องเดินไปซื้อก็ได้ เขียนที่บ้านแล้วให้ผู้หญิงเขาออกแรง เพราะเขาชอบอยู่แล้ว อย่าลืมนะครับว่า ถ้าท่านไม่ลองเรียนรู้วิธีใหม่ๆ แล้วก็บ่นว่า เรียนไม่เก่ง เรียนไม่รู้เรื่องสักที ก็เท่าที่เรียนมามันไม่รู้เรื่องไง ถึงต้องลองวิธีใหม่กันนี่ไง ไม่ลอง ก็ไม่รู้ ไม่ดู ก็ไม่เห็น ไม่ทำ ก็ไม่เข้าใจ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น