วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2560

เรียนอังกฤษจาก Toeic

If you pay on a cash basis, you can take advantage _______ a 5 percent discount.

(A) on (B) with (C) from (D) of

ความหมาย : ถ้าคุณจ่ายด้วยเงินสด คุณก็จะได้ส่วนลด 5 เปอร์เซ็นต์

คำตอบคือ d เป็นสำนวน to take advantage of + สิ่งใดหรือคนใด หมายถึง ใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นหรือคนนั้น คำนี้อ่านออกเสียงว่า เอิ่ด (แวน) ทิจ ตัวมันเองหมายถึง ข้อดี ข้อได้เปรียบ เช่น
You can take advantage of working in this company.
= คุณสามารถใช้ประโยชน์จากการทำงานในบริษัทนี้
He will take advantage of you if you are too kind.
= เขาจะมาเอาเปรียบคุณถ้าใจดีเกินไป
The advantage of living in the country is fresh air.
= ข้อดีของการอยู่ในต่างจังหวัดก็คือ อากาศดี
สำนวนที่พบเจอบ่อยในโลกการทำงานคือ to give + someone + an advantage หมายถึง มีแล้วได้เปรียบ ได้รับการพิจารณาก่อน เช่น
Speaking fluent English gives you an advantage when applying for a job.
= พูดภาษาอังกฤษคล่องจะได้เปรียบตอนสมัครงาน
สำนวน on a…… basis เป็นสำนวนที่เรามีโอกาสเจอสูงมาก เขามีความหมายว่า ใช้หลักการนั้นหรือแนวคิดนั้น ในลักษณะอย่างนั้น เช่น
On a regular basis = ทำเป็นประจำ on a weekly basis. = ทุกสัปดาห์ on a cash basis = ชำระด้วยเงินสด (ใช้แนวความคิดที่ใช้เงินสด เป็นต้น)
on a voluntary basis = ทำแบบอาสา on a temporary basis = ทำแบบชั่วคราว (ลักษณะชั่วคราว)
We will hire students on a part-time basis.
= เราจะจ้างนักเรียนแบบล่วงเวลา เป็นต้น
วันก่อนได้เรียนสำนวนที่เกี่ยวกับการลดราคาไปแล้ว ขอต่อยอดสำนวนนี้ด้วยเพื่อการนำไปใช้ในโครงสร้างที่ว่า to get + a + จำนวนเปอร์เซ็นต์ % discount เช่น Members get a 10% discount for every item. =สมาชิกจะได้ลด 10 % สำหรับสินค้าทุกชิ้น
Exclusive members will get a 200 bath discount for every purchase.
= ลูกค้าคนพิเศษจะได้รับส่วนลดทันที 200 บาทเมื่อซื้อของ
แต่หากต้องการจะบอกแค่ว่า คุณสามารถซื้อของหรือสินค้าอะไรในราคาลดหรือลดราคา ก็สามารถใช้สำนวนว่า to buy + สินค้า + at a + % discount เช่น
Those who follow this webpage can buy books at a 10 % discount.
= คนที่ติดตามเพจนี้สามารถซื้อหนังสือได้ในราคาลด 10 % เป็นต้น
Those who follow this webpage can get a 10% discount.
ก็สุดแล้วแต่ว่าใครชอบโครงสร้างไหน ก็เอาไปใช้กัน
แต่หากจะให้ตรงกับภาษาไทยก็คือ เราได้ส่วนลด + จำนวนที่ลด + สำหรับ + สินค้าที่ลด ก็ใช้ไปแบบที่มันตรงกับภาษาไทยได้ว่า You will get a 20 % discount for this book. เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2560

เรียนอังกฤษจาก Toeic

The following companies have indicated that they will be _______ new products at their booth for this year’s event.
(A) introduce (B) introducing(C) introduced (D) introduces

บริษัทต่อไปนี้ได้ระบุว่าจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ที่บู๊ทสำหรับงานปีนี้
คำตอบคือ b เพราะหมายถึง จะแนะนำ บางคนอาจสงสัยว่า แล้วทำไมไม่ใช้ introduced ในรูปของกริยาช่อง 3 เพราะมี be น่าจะเป็น passive ก็ต้องบอกว่าไม่ได้เพราะข้อความนี้มีประธานคือ They แทน companies และมีกรรมคือ new products มันก็เลยต้องเป็นactive กริยาที่ใช้ได้ก็เลยมีเพียงตัวเดียวนั่นคือ introducing เนื่องจากบริษัทจะทำการแนะนำสินค้าใหม่นั่นเอง
เรามาดูการใช้คำว่า introduce กันหน่อยดีไหม คำนี้อ่านออกเสียงว่า (อิน) โทร ดูส
คำนี้จำง่ายๆก็คือ แนะนำ นำเสนอ เช่น
May I introduce myself? ขอแนะนำตัวเอง
The teacher has introduced me to the class.
= ครูแนะนำฉันให้ทุกคนในห้องรู้จัก
We will introduce our new project during the meeting.
= เราจะนำเสนอโครงการใหม่ในที่ประชุม
The teacher will introduce “ Learning English through “You tube” to her students.
= ครูแนะนำให้นักเรียนรู้จักการเรียนภาษาอังกฤษผ่าน You tube
ส่วนคำว่า to indicate หมายถึง แสดงให้เห็นว่า ชี้ให้เห็นว่า
• Studies indicate (that) smoking could cause cancer.
• = งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าการสูบบุหรี่ทำให้เกิดมะเร็ง
• Research indicates that most teachers are not happy with their salary.
• = งานวิจัยชี้ให้เห็นว่า (ระบุว่า หรือบ่งชี้ว่า) ครูส่วนใหญ่ไม่พอใจกับเงินเดือน
• Following หมายถึง ถัดไปหรือต่อไปนี้ นำไปวางหน้าคำนามตัวไหนก็ได้ เช่น the following month = เดือนถัดไป the following day = วันถัดไป the following question = คำถามถัดไป the following Saturday = เสาร์ถัดไป

วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2560

เรียนอังกฤษจาก Toeic

The tax ………… has benefitted lower-income families. A. reforms b. reform c. reformation d. reforming

ความหมาย : การปฏิรูปภาษีส่งผลดีต่อครอบครัวที่มีรายได้น้อย คำตอบคือ ข้อ b เพราะเป็นคำนามเอกพจน์ ซึ่งสอดคล้องกับกริยา has ซึ่งเป็นเอกพจน์ เราใช้กริยา has + v3 เมื่อเราไม่ต้องการเน้นเวลาว่าการกระทำนี้เกิดขึ้นเมื่อไร แต่เน้นแค่ว่า จบลงไปแล้ว เช่น I have seen that movie. = ฉันดูหนังเรื่องนั้นแล้ว (ไม่บอกเวลา) แต่ถ้าบอกเวลาว่า เมื่อวานนี้ กริยาจะต้องเปลี่ยนไปด้วยเช่น I saw that movie yesterday. สังเกตสองประโยคนี้ให้ดี ทีนี้ก็มาดูความหมายข้ออื่นกัน คำว่า reform เป็นคำนาม เจอเขาที่ไหน ก็หมายถึงมีการปฏิรูปเกิดขึ้นที่นั่น เช่น economic reform = การปฏิรูปทางเศรษฐกิจ political reform การปฏิรูปทางการเมือง constitutional reform การปฏิรูปรัฐธรรมนูญ tax reform = การปฏิรูปภาษี education reformการปฏิรูปทางการศึกษา และคำว่า reform นี้เองก็เป็นคำกริยาด้วย หมายถึง ปฏิรูป เมื่อเอาคำต่อไปนี้ไปวางไว้ข้างหลังก็จะมีความหมายเช่นเดียวกัน เช่น to reform the economy, to reform politics, to reform the constitution , to reform the tax และ to reform the education ตามลำดับ ส่วนคำว่า reformation นั้นไม่น่าสนใจ ก็ไม่ต้องไปใส่ใจมัน คำที่น่าสนใจอีกคำหนึ่งคือ to benefit หมายถึง ให้ประโยชน์ หรือส่งผลดีต่อ เช่น ให้ผลดีต่อ เราต้องการจะใช้บรรยายว่ามีผลดีต่อใครหรืออะไร เราก็เอาคำนั้นมาวางไว้ข้างหลัง เช่น The new education reform has benefitted the country. = การปฏิรูปทางการศึกษาจะส่งผลดีต่อประเทศชาติ The tax cuts will only benefit large corporations.= การลดภาษีจะช่วยลดภาษีบริษัทใหญ่ๆเท่านั้น The new traffic rules will benefit only car drivers. = กฎจราจรใหม่นี้จะส่งผลดีเฉพาะผู้ขับขี่รถยนต์เท่านั้น The restructure of the company will benefit the employees.= การปรับโครงสร้างใหม่ของบริษัทจะส่งผลดีต่อลูกจ้าง ส่วนในภาษาที่ว่า ได้รับประโยชน์หรือได้รับผลดีจาก เราก็สามารถใช้ว่า to benefit from เช่นกัน The students will benefit from the education reform. = นักเรียนจะได้รับประโยชน์จากการปฏิรูปการศึกษา ไม่แตกต่าง จะใช้โครงสร้างนี้ก็ได้
ส่วนคำนี้ที่น่าจำในเชิงธุรกิจ ก็คือ fringe benefits หมายถึง ผลประโยชน์ที่ได้จากการทำงานที่ได้จากองค์กรนอกเหนือจากเงินเดือน เช่น เงินบำนาญ รถยนต์ที่บริษัทให้ใช้ ( a company car ) เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ loans at low rates of interest อีกคำหนึ่งที่เจอคือ perk ส่วนคำนี้ยังหมายถึง เงินที่ให้ด้วย เช่น → accident benefit= เงินสำหรับผู้ประสบอุบัติเหตุ → child benefit = เงินที่รัฐบาลให้พ่อแม่ที่มีลูกจนอายุถึง 18 ปี → disability benefit = เงินที่ให้กับผู้พิการ → housing benefit = เงินที่รัฐบาลให้ค่าที่พักเวลาเจ็บป่วย → sickness benefit = เงินที่รัฐบาลให้ยามเจ็บป่วย unemployment benefit = เงินที่รัฐบาลให้ตอนตกงาน หากประเทศไหนมีพวกนี้เยอะๆ ก็เป็นอันว่า มาตรฐานการดูแลประชาชรของเขาดีมาก พวกเขาก็โชคดีกันไป
คำสุดท้ายคือ low-income + คน ก็จะหมายถึง คนๆนั้นมีรายได้ต่ำ หากมีรายได้สูงก็เป็น high-income ไป เช่น low-income people / families = ครอบครัวที่มีรายได้น้อย middle-income families = ครอบครัวที่มีรายได้ปานกลาง ก็ว่ากันไป

วันอังคารที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2560

เรียนอังกฤษจาก Toeic

Mr. Lee’s conciliatory comments appear to have been….by some of his readers.
a. misinterpret b. misinterpreted c. misinterpretation d. misinterpreting
ข้อคิดเห็นที่เสนอให้มีการไกล่เกลี่ยของคุณลีดูเหมือนจะมีผู้อ่านบางคนตีความผิด
ข้อนี้ทดสอบความรู้คำนามถูกกระทำ คำนามคือ comments ไม่สามารถทำกริยาได้ จึงต้องเลือกข้อ b ตามกฎ have been + v3 ตอบข้อ b ความรู้ไวยากรณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับข้อนี้
คำที่น่าสนใจมีสองคำสำหรับข้อสอบข้อนี้ คำแรกคือ conciliatory ออกเสียงว่า เคิน (ซี) เลียท ทอ รี่ หมายถึง ที่ไกล่เกลี่ย ที่ประนีประนอม อยู่หน้าคำไหนก็หมายถึง คำนั้นมีลักษณะอย่างที่ว่า
• a conciliatory note = โน้ตไกล่เกลี่ย /message = ข้อความไกล่เกลี่ย
• The boss is conciliatory in discussing the current controversy.
• = หัวหน้าหารือไกล่เกลี่ยความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้
คำกริยาคือ conciliate เคิน (ซี) เลีย อิท หมายถึง ไกล่เกลี่ย เช่น
The president tried to conciliate the workers but failed.
= ท่านประธานพยายามจะไกล่เกลี่ยพนักงานแต่ก็ล้มเหลว
ในโลกธุรกิจมี 4 อย่างที่ต้องทำคือ 1. compromise (คาม) เพรอะ ม๊ายส์ ก็คือ ประนีประนอม 2. bargain (บาร์) เกิ่น ต่อรอง 3. negotiate นี (โก) ชี เอท คือ เจรจา แล้วก็ 4. conciliate จำไว้ใช้เลยก็ได้
ส่วนคำที่น่าสนใจที่เราได้ยินกันในช่วงนี้ก็คือ ปรองดอง เขาใช้ว่า to reconcile อ่านว่า (เร๊ค) เคิน ซายล์ เช่น
The government is trying to reconcile the differences in the country.
= รัฐบาลกำลังพยายามปรองดองความแตกต่างในประเทศอยู่
That issue cannot be reconciled.
= ประเด็นนั้นปรองดองไม่ได้ (เป็นไงเป็นกัน)
และสำนวนสุดท้ายของคำนี้คือ to reconcile + oneself to + สิ่งใดก็ตาม หมายถึง ปลง หรือทำให้ตัวเองยอมรับสิ่งนั้นได้ เช่น
I cannot reconcile myself to my dad’s death.
= ฉันทำใจยอมรับ (ปลง) กับการจากไปของพ่อไม่ได้
Finally, he reconciled himself to the fact that he had to live without her.
= ในที่สุด เขาก็ทำใจยอมรับ (ปลง) กับความจริงที่ว่า ต้องอยู่โดยไม่มีเธอให้ได้
The government is working hard on the national reconciliation.
= รัฐบาลกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อทำการปรองดองของคนในชาติ
Mom is expecting a reconciliation with her husband.
=แม่คาดหวังจะคืนดีกับพ่อ
เพราะฉะนั้น เวลาต้องการจะบรรยายว่า อยากให้ใครมาปรองดองกับใครก็ใช้สำนวนนี้ได้ กริยาที่ใช้ก็เป็น to ask for = ขอให้ to call for = เรียกร้องให้ to hope for = หวัง หรืออยากจะสวดมนต์ภาวนา ก็ใช้ว่า to pray for = สวดอ้อนวอน เช่น We pray for a conciliation between the two parties. = เราสวดอ้อนวอนให้มีการคืนดีกันระหว่างสองฝ่าย หรืออยากให้พ่อคืนดีกับลูก หรืออยากให้น้องคืนดีกับหลาน ก็ว่ากันไป
ส่วนคำว่า misinterpret ก็คือ ตีความผิด มาจากคำว่า mis= ผิด + interpret ตีความ ง่ายไหม อ่านว่า มิส อิน(เทอร์ ) พริท ดูอีกหนึ่งคำ misunderstand = เข้าใจผิด มาจาก mis = ผิด + understand = เข้าใจ เช่น
He has misinterpreted my statement.
= เขาตีความข้อความของฉันผิดไป
You misinterpreted my intentions.
= เธอตีความเจตนาของฉันผิดไป
คำว่า misinterpret มาจาก กริยา interpret = ตีความ คำนามคือ an interpreter = ล่าม
วันนี้ อย่างน้อย ก็สามารถเอาเรื่องปรองดอง ประนีประนอมไปใช้ได้ ก็น่าจะ happy แล้ว

วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560

เรียนอังกฤษจากข้อสอบ toeic

The company spokesperson said that the company has reported a drop in net income for five _______ quarters.
(A) constant b. following c. immediate d. consecutive
โฆษกบริษัทกล่าว่า ทางบริษัทได้รายงานการลดลงของรายได้สุทธิสำหรับ 5 ไตรมาสที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ข้อ d ข้อ a. ที่สม่ำเสมอ b. ที่ตามมา c. กะทันหัน หรือทันที หรือตอนนี้

คำว่า consecutive อ่านว่า เคิน (เซ๊ค) คิว ถิฝ หมายถึง ที่ต่อเนื่อง เข่น
Our team has won three consecutive singing contests.
= ทีมของเราเอาชนะการแข่งขัน 3 ครั้งอย่างต่อเนื่อง
He has been sick for three consecutive months.
= เขาป่วยมาสามเดือนติดแล้ว
If you are off work sick for more than three consecutive days, you need to submit a doctor’s certificate to the human resources.
= ถ้าคุณป่วยมากกว่าสามวันติดต่อกัน คุณต้องยื่นใบรับรองแพทย์ให้กับฝ่ายบุคลากร
It has rained for more than three consecutive days.
= ฝนตกติดต่อกันสามวันแล้ว
Following หมายถึง ต่อมา เช่น
He plans to move into a new house the following month.
= เขามีโครงการจะย้ายเข้าบ้านหลังใหม่เดือนต่อมา
Please read the following page.
= โปรดอ่านหน้าต่อมา
I met him the following week.
= ฉันพบเขาสัปดาห์ต่อมา
If you need more information, please write to us at the following address.
= ถ้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเขียนมาหาเราตามที่อยู่ต่อไปนี้

ของหมูๆ

เวลาต้องกาจะบอกว่าอะไรที่ทำง่ายหรืออะไรง่ายที่จะทำ เราสามารถใช้สำนวนต่อไปนี้

It’s very easy. = ง่ายมาก สำนวนนี้มันง่ายแต่อาจไม่มีเสน่ห์ ไม่มีสีสัน เราลองมาฝึกใช้คำพูดเหล่านี้ดู

1. It's a piece of cake. ของกล้วยๆ (เหมือนกินขนมเค๊ก)
2. It’s a breeze. ของหมูๆ สบายๆ (เหมือนสายลมเย็น)
3. It's a cinch. ของกล้วยๆ
4. There's nothing to it. ไม่เห็นมีอะไรเลย (ง่ายจะตาย)
5. Anyone can do it. ใครๆก็ทำได้
6. It's child’s play. ของเด็กๆ
7. It's a walk in the park. เหมือนเดินเล่นในสวน
8. It's not rocket science. ง่ายจะตาย (ไม่ใช่เรื่องการสร้างจรวดสักหน่อย หรือง่ายจะตายนั่นเอง)
9. It's easy as pie. ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
10. It’s easy as a,b,c. ง่ายเหมือน ก ข ค
11. I can do it with my eyes shut. หลับตาทำยังได้เลย

วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2560

successful people

  We have seen a lot of successful people in our life and may wonder what attitudes or traits they have to be successful. I would like to share some of the interesting traits you may find helpful.


เราเห็นคนที่ประสบความสำเร็จมากมายในชีวิตและอาจอยากรู้ว่าพวกเขามีลักษณะหรือทัศนคติอะไรที่ทำให้ประสบผลสำเร็จ อยากจะแบ่งปันลักษณะที่น่าสนใจที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์


No 1. They are passionate about what they do.= รักในสิ่งที่ทำ


สำนวนง่ายๆก็คือ They love what they are doing. = รักในสิ่งที่ทำ นั่นเอง อยากจะให้ภาษาสวยก็ใช้ประโยคแรก
สำนวน to be passionate about + สิ่งใด หมายถึง ชอบทำในสิ่งนั้น เช่น I am passionate about seafood. = ฉันชอบอาหารทะเลมาก He is passionate about cooking. = ชอบทำอาหารมาก She is passionate about traveling. = ชอบเดินทางท่องเที่ยวมาก (แพ) เชิ่น เนท


No 2. They work hard while having fun. ทำงานหนักแต่มีความสุขในขณะที่ทำ

No 3. They always come up with new ideas. = คิดอะไรใหม่ๆเสมอ

สำนวน to come up with หมายถึง คิดออก หรือมีอะไรใหม่ ใช้กับ ความคิด คำตอบ แผนการ เช่น He always comes up with a good project. = เขามักจะคิดโครงการดีๆได้เสมอ Eventually, she came up with a good solution. = ในที่สุด หล่อนก็คิดทางแก้ปัญหาที่ดีได้


No 4. They keep improving themselves. = มักจะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ


No 6. They never give up.= พวกเขาไม่เคยยอมแพ้


If you want to be successful like them, just follow some of the tips. = หากอยากจะประสบความสำเร็จบ้าง แต่ทำตามคำแนะนำเหล่านี้บางอย่างดู

เยี่ยม

เวลาต้องการบรรยายว่าอะไรดี ถูกใจและประทับใจ เราสามารถใช้สำนวนต่อไปนี้บรรยายได้

1. It's great. เยี่ยม
2. It's fantastic. วิเศษ ยอดเยี่ยมเลย / แฟน (แทส) ติค /
3. It's excellent. ยอดเยี่ยม
4. It's better than average. ยอดเยี่ยม (ความหมายตรงตัวก็คือ มากกว่าธรรมดา คำว่า average อ่านว่า (แอ) เหวอะ ริจ หมายความว่า งั้นๆ หรือ ธรรมดา กลางๆ ไม่ดีมากและก็ไม้ได้แย่มาก ใช้กับทุกอย่างที่เรารู้สึกแบบนั้น
5. It's not bad. ก็ไม่แย่ ก็โอเค
6. I'd recommend it. ขอแนะนำ (เร๊ค) เคิม เม็น (ดิด)
7. I'm very impressed. ประทับใจมาก
8. It's better than I expected. ดีกว่าที่คาด
9. It's the best I've ever seen / tasted ดีที่สุดที่เคยเห็นมา / ที่เคยชิมมา

วันเสาร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2560

ความสำเร็จ

A: “Positive people don't wait for change, they create it.”

B: I’m sorry, but could you explain what you mean.
(ขอโทษด้วย ช่วยอธิบายอีกครั้งได้ไหม)

A: I’m sure you’ll understand that what I’m trying to say is… มั่นใจว่าคุณจะเข้าใจสิ่งที่พยายามจะสื่อนั่นก็คือ.....

Positive people don't wait for change and improvement. To illustrate this point.

คนที่มองโลกในแง่ดีจะไม่รอการเปลี่ยนแปลงและการดีขึ้นของสิ่งไหน  ขออธิบาย (ขยาย) ประเด้นนีั้สักเล็
กหน่อย

No 1. They don't blame their environment and other people for their life, but set out to make the changes they want.

 เขาจะไม่โทษสิ่งแวดล้อมหรือคนอื่นที่เขามีชีวิตแบบนี้ แต่จะเริ่มหาทางเปลี่ยนแปลงตามที่อยากจะให้เกิดขึ้น

No 2. They don't wait for luck, miracles or for things to change. They look for ways to make the change they want.
พวกเขาไม่รอโชค ไม่รอปาฏิหาริย์ หรือไม่รอให้อะไรเปลี่ยนแปลงเอง พวกเขาจะหาหนทางเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เขาต้องการ

ศัพท์สำนวน

คำว่า to set out on + คำนาม หมายถึง เริ่มทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น We will set out on a new project next month. = เราจะเริ่มทำโครงการใหม่เดือนหน้า The band will set out on a tour concert across the country soon. = วงดนตรีจะเริ่มออกตระเวนเล่นดนตรีทั่วประเทศเร็วๆนี้ We plan to set out on a drive in the south after we retire. = เรามีแผนจะเริ่มขับรถตระเวนไปทางใต้หลังจากที่เกษียณ และ to set out to do หมายถึง เริ่มวางแผนที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น He will set out to study hard. = เขาเริ่มที่จะขยันแล้ว
สำนวน to blame + สิ่งไหนหรืออะไร หมายถึง โทษ หรือตำหนิ เช่น The boss has blamed me for the drop in sales. = หัวหน้าโทษฉันเรื่องยอดขายตก
สำนวนที่ควรจำเกี่ยวกับ คำว่า blame คือ Don’t blame me. = อ่ามาโทษฉันนะ Don’t blame + คนใดคนหนึ่ง หมายถึง อย่าไปเพ่งโทษหรือย่างไปตำหนิ เช่น Don’t blame your kid. He is too young. = อย่าไปโทษเด็กมันเลย แกยังไม่รู้ภาษีภาษาอะไร ส่วนที่ต้องการจะโทษใคร เราก็วสามารถพูดได้ว่า คนๆนั้น + is / are to blame. = คนๆนั้นแหละที่ต้องถูกตำหนิ เช่น Those students are to blame. = นักเรียนพวกนั้นแหละที่ต้องโดนตำหนิ หรือ The parents are to blame. = ต้องตำหนิพ่อแม่
สำนวน to wait for + รอสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือคนใดคนหนึ่ง เช่น We are waiting for the bus. = เรากำลังรอรถประจำทางอยู่ Don’t wait for happiness to happen, make it happen. = อย่ารอให้ความสุขเกิดขึ้น แต่จงทำให้มันเกิดขึ้น What are you waiting for? = แล้วคุณล่ะ รออะไรอยู่

วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2560

ความรัก

Darkness cannot drive out darkness;
Only light can do that.
Hate cannot drive out hate;
Only love can do that.

Dr. Martin Luther King

เราไม่สามารถใช้ความมืดทำให้ความมืดหมดไปได้
มีก็เพียงแสงสว่างเท่านั้นที่จะทำให้ความมืดหมดไป
เราไม่สามารถใช้ความเกลียดชังทำให้ความเกลียดชังหมดไปได้
มีก็เพียงความรักเท่านั้นที่จะทำให้ความเกลียดชังหมดไปจากใจได้

ศัพท์สำนวน

To drive out + something = บังคับให้ออกไป
Hate เป็นคำนาม หมายถึง ความเกลียดชัง เช่น
He looked at me with eyes full of hate.
= เขามองฉันด้วยสายตาเกลียดชัง
คำว่า hate นั้น จะพบเห็นมากในรูปของกริยา to hate หมายถึง เกลียด
เช่น I hate you. ฉันเกลียดคุณ
I hate the smell of cigarettes.
= ฉันเกลียดกลิ่นบุหรี่
โครงสร้างที่พบเห็นบ่อย คือ
To hate + ving = เกลียดการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
I hate speaking in public.
= ฉันไม่ชอบการพูดต่อหน้าผู้คน
She hates getting up early.
= เธอไม่ชอบการตื่นนอนเช้า
To hate to do something = เกลียด หรือไม่ชอบที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
Dad hates to watch TV alone.
= พ่อไม่ชอบดูทีวีคนเดียว
To tell you the truth, I hate to go with you, guys.
= บอกตามตรงนะ ฉันไม่ชอบไปกับพวกนายเลย
และโครงสร้างสุดท้ายคือ I hate it when…. ประธาน กริยา
มีความหมายว่า เกลียดเมื่อ หรือเกลียดตอนที่ เช่น
I hate it when my parents have an argument.
= ฉันเกลียดตอนที่พ่อแม่มีปากมีเสียงกัน
I hate it when the politicians are corrupt.
= ฉันเกลียดที่นักการเมืองโกงกิน
I hate it when you argue with me.
= ฉันเกลียดตอนที่เธอเถียงฉัน
He hates it when his dad scolds him.
= เขาเกลียดตอนที่พ่อดุด่าเขา
She hates it when her boyfriend criticizes her.
= เธอไม่ชอบตอนที่แฟนวิจารณ์เธอ
They hate it when the teacher is tough.
=พวกเขาไม่ชอบตอนที่ครูโหด
I hate it when dad has a fight with mom.
=ฉันไม่ชอบเลยตอนที่พ่อทะเลาะกับแม่
I hate it when I can’t get up early.
= ไม่ชอบเลยตอนที่ตัวเองนอนตื่นสาย
Mom hates it when I failed the test.
= แม่ไม่ชอบตอนที่ฉันสอบตก

โทรศัพท์ 3

ตอน 3
หากมีปัญหาเรื่องเสียงไม่ชัด พูดค่อย หรือฟังไม่ถนัด อยากให้อีกฝ่ายหนึ่งพูดซ้ำ ก็สามารถใช้ว่า
• ‘I’m afraid I can’t hear you very well’ (โทษครับ / ค่ะ ได้ยินไม่ชัดเลยครับ / ค่ะ)
• ‘Would you mind speaking up a bit please?’ (ช่วยพูดให้ดังอีกนิดซิครับ / ค่ะ)
• I’m afraid my English isn’t very good, could you speak slowly please?’
(ภาษาอังกฤษผมหรือดิฉันไม่ค่อยดี ช่วยพูดช้าๆหน่อยครับ / ค่ะ)
• ‘Could you repeat that please?’ (กรุณาพูดอีกทีซิครับ / ค่ะ)
แบบกันเอง
• ‘Sorry, I didn’t catch that’ (โทษครับ / ค่ะ ฟังไม่ทัน)
• ‘Say that again please?’ (กรุณาทวนอีกครั้ง )
• ‘I can’t hear you very well’ (ได้ยินไม่ชัดเลยครับ / ค่ะ)
• ‘Sorry, this line is quite bad’ (ขอโทษครับ / ค่ะ โทรศัพท์ไม่ดีเลย)
การขอชื่อและเบอร์
• ‘Can I take your name and number please?’
• (รบกวนขอทราบชื่อและเบอร์โทรครับ / ค่ะ)
• ‘Can I leave a message please?’
• (จะฝากข้อความไหมไว้ได้ครับ / ค่ะ)
• ‘Could you please ask ___ to call me back?’
• (ช่วยบอกให้.....โทรกลับได้ไหมครับ / ค่ะ)
• ‘Could you spell that for me please?’
• (ช่วยสะกด....ด้วยครับ / ค่ะ)
• ‘Can I just check the spelling of that please?’
• (ขอตรวจดูว่าสะกดถูกต้องไหมครับ / ค่ะ)
แบบกันเอง
• ‘I’ll ask him to ring (call) you when ___ gets back’
• ( เดี๋ยวกลับมาให้เขาโทรกลับนะ)
• ‘Could you tell ___ that I called please?’
• (ช่วยบอกเขาว่า ......โทรมาหานะครับ / ค่ะ))
• ‘I’ll let ___ know that you rang / called’
• (แล้วจะบอกว่า......โทรมานะ)
ก่อนการวางสาย สามารถพูดได้ว่า
• ‘Thank you for calling’ (ขอบคุณที่โทรมานะครับ / ค่ะ)
• ‘Have a good day’ (ขอให้วันนี้มีความสุขนะครับ / คะ)
• ‘Goodbye’ (สวัสดีครับ / ค่ะ)
คำพูดแบบกันเองก่อนวางสาย
• ‘Bye!’ (แค่นี้นะ)
• ‘Talk soon’ (คุยกันวันหลังนะ)
• ‘Speak to you again soon’ (แล้วค่อยคุยกันนะ)
1. hold on (ถือสายรอ)
• ‘Could you hold on a moment please?’
• (คอยสักครู่นะตรับ/ คะ)
2. hang on (ถือสายรอ)

• ‘Could you hang on a moment please?’
• (กรุณาถือสายรอสักครู่)
3. put (a call) through (ต่อสายให้)
• ‘I’m just going to put you through now.’
(ผมหรือดิฉันกำลังต่อสายให้ครับหรือค่ะ)
4. hang up (วางสาย)
• ‘I think the operator hung up on me, the line just went dead!’
• (ผมหรือคิดว่า พนักงานรับสายวางหู โทรศัพท์ฟังไม่รู้เรื่องเลย)
5. call back (โทรกลับ)
‘I’ll ask him to call you back when he gets home.’
(จะให้เขาโทรกลับเมื่อถึงบ้าน)
6. pick up (รับสาย)
• ‘No one is picking up, maybe they’re not at home.’
(ไม่มีมีใครรับสาย อาจไม่อยู่บ้าน)
7. get off (the phone) (หยุดพูด)
• ‘When he gets off the other phone, I’ll pass on your message.’
(เมื่อเขาพูดเสร็จ ผม หรือ ดิฉันจะบอกให้นะ)
8. get back to (someone) (จะโทรกลับ)
• ‘When do you think he / she’ll be able to get back to me?’
(คุณคิดว่า......จะโทรกลับมาได้ตอนไหนครับ / คะ)
9. cut off (สายตัด)
• ‘I think we got cut off, I can’t hear her / him anymore.’
(ผม(ดิฉัน) คิดว่า สายมันตัด ผมไม่ได้ยินเธอ หรือ เขา เลย) สำนวน to get cut off = สายตัด หรือ We got disconnected.
10. switch off/turn off (เครื่องดับ)

• ‘Sorry you couldn’t get through to me. My phone was switched off, because the battery was dead.’
( ขอโทษ ที่ติดต่อผม / ดิฉันไม่ได้ พอดี ปิดเครื่อง เพราะแบ็ตหมด)
11. speak up (พูดให้ดังหน่อย)

• ‘I’m afraid I can’t hear you very well, could you speak up a little please?’

(ขอโทษที่ได้ยินไม่ชัด กรุณาพูดดังอีกนิดนะครับ / คะ)
สำนวนพูดอื่นๆ

Is it possible to speak to ..... คนที่ต้องการพูดสายด้วย... (ขอสายกับ.....หน่อย)
I need to speak to ...ต้องการพูดสายกับ.....
May I leave a message, please? (ขอฝากข้อความไว้ได้ไหม)
Do you know when he/she will be available? (ทราบหรือเปล่าว่าจะว่างมาเมื่อไร)
Do you know when he/she will return to the office/home? (ทราบไหมว่าจะกลับมาที่ทำงาน หรือบ้านเมื่อไร)
I will call back later/in an hour/tomorrow. (แล้วจะโทรกลับ / อีก 1 ชั่วโมง / พรุ่งนี้)
Please tell him .....(ชื่อคนโทร) called, and I will call later/call again.
= (ช่วยบอกว่า...โทรมา แล้วจะโทรหาอีก)
Please have him/her call me back. Can I leave my telephone number?
= (ช่วยให้โทรกลับด้วย ช่วยจดเบอร์ของ ผม / ดิฉันด้วยนะครับ / คะ)
My phone number is.....(เบอร์โทร)? (เบอร์ของผม / ดิฉันคือ...)
Please have him/her contact at ....... (ช่วยให้เขาติดต่อมาที่. สถานที่หรือ เบอร์โทรศัพท์....)
Where/How can I reach him/her? (จะติดต่อเขาได้ที่ไหน หรือ อย่างไร สำนวนว่า to reach + ใคร หมายถึง ติดต่อ เช่น I can’t reach him. = ฉันติดต่อเขาไม่ได้)
What is her/his mobile phone number/cell/cellular phone number? (โทรศัพท์หมายเลขอะไร)
I sorry can't hear you. (ขอโทษด้วย ไม่ได้ยินเลย)
I sorry I can't understand you. (ขอโทษครับ / คะ ไม่เข้าใจครับ / ค่ะ)
Please speak slowly. I am having a difficult time understanding you. (ช่วยพูดช้าๆหน่อยครับ / ค่ะ ฟังไม่เข้าใจครับ /ค่ะ สำนวน to have a difficult time + v ing = มีปัญหาเกี่ยวกับ......
The line was disconnected. (สายโดนตัด)
Please connect me to ....(กรุณาติดต่อผม / ดิฉันที่ + ชื่อ เบอร์ .....หรือเบอร์ต่อ
I have to get back to work before the boss sees me.
= ฉันต้องกลับไปทำงานก่อนที่เจ้านายจะเห็นฉัน
I have to get back to my work. I will call you again later.
= ฉันต้องกลับไปทำงานก่อน เดี๋ยวจะโทรมาหาใหม่
There’s someone on the other line. I must say good-bye now.
= มีคนรออยู่อีกสายหนึ่ง ฉันต้องวางหูก่อนนะ
I really have to go now.
= ต้องไปละนะ
I’ll have to take your number and call you back.
= คงต้องขอเบอร์แล้วจะโทรกลับ
Can I call you back? Something has come up.
= เดี๋ยวโทรกลับไปได้ไหม มีธุระ
Can we continue this later? My line is ringing.
= คุยต่อวันหลังแล้วกัน โทรศัพท์ของฉันกำลังดัง
เวลาถูกถามเรื่องอะไรที่เราไม่อยากตอบ เช่น อายุเท่าไร แต่งงานหรือยัง เงินเดือนเท่าไร ได้งานหรือยัง หรือคำถามที่สร้างความอัดอัดให้เราอื่นๆอีก เราสามารถพูดเลี่ยงได้ว่า
I am sorry I prefer not to answer such personal questions.
= ขอโทษด้วย ผมไม่ขอตอบคำถามเรื่องส่วนตัว
Wow, that's a personal question!
= ตายละ นั่นมันเป็นคำถามเรื่องส่วนตัวนะ
"When I figure it out I will let you know.
= เดี๋ยวคิดออก แล้วจะบอก
หรือ I am sorry I don’t know. หรือ I am sorry I have no idea. โทษที ไม่ทราบ
หรือ It’s too complicated. I don’t know.
= เรื่องมันซับซ้อนเกินไป ฉันไม่เข้าใจหรอก
I’m sorry, we have a bad connection. Could you give me your number and I’ll call you back. = ขอโทษด้วย ฟังไม่รู้เรื่องเลย ทิ้งเบอร์ไว้ได้ไหมแล้วจะโทรกลับ
I think we have a bad connection. Could you speak a little louder? = ฉันว่าสายไม่ดี กรุณาพูดดังกว่านี้หน่อย
I’m sorry. You have the wrong number.
= ขอโทษ คุณโทรผิด