ทำไมการเรียนภาษาอังกฤษจึงล้มเหลว
เคยนั่งคิดนอนคิดกันไหมว่าทำไมลูกหลานเราเรียนภาษาอังกฤษมาเป็นสิบสิบปีแต่เอาเข้าจริงสื่อไม่ได้ คิดดู เราเริ่มกันตั้งแต่ ป. 1 ยันจบมหาวิทยาลัย แล้วเป็นไง จบมาก็พูดภาษาอังกฤษกันไม่ค่อยได้ ทั้งหมดคือผลของการจัดการศึกษาแบบตัวใครตัวมัน เจตนานั้นดีแต่วิธีมันแปลกๆ มาดูที่วัตถุประสงค์ก่อน ทุกโรงเรียนต่างก็มีจุดหมายอยากทำให้เด็กอ่านออกเขียนได้กันทั้งนั้น แต่พอมาดูหลักสูตร ไอ้หยา ทำไมมันเป็นอย่างนี้ เรามุ่งสอนไวยากรณ์อย่างเดียวเพราะข้อสอบมันเน้นไวยากรณ์ มันไม่ได้เน้นอย่างอื่น เด็กเล็กๆ เวลาสอบเข้าเรียนโรงเรียนดังๆ เช่นสอบเข้า ม 1. ม4 ข้อสอบทั้งยากส์ทั้งโหด เรียนที่โรงเรียนแล้ว ยังต้องไปเรียนกวดวิชากันอีก ถ้าไม่เรียนก็เอาไปสอบเข้าที่อื่นไม่ได้ มันก็คือวงจรเดิมๆที่ผู้ปกครองต้องหาเงินป้อนให้โรงเรียนกวดวิชา แล้วในโรงเรียนล่ะ สอนอะไรกัน ก็สอนการวิเคราะห์ประโยค สอนเรื่องประโยคถูกกระทำ การเปลี่ยนประโยคจากประโยคกระทำเป็นผู้ถูกกระทำ เรื่อง tense ซึ่งสอนกันมาตั้งแต่เด็กจนแก่ ก็ยังใช้กันไม่เป็นเพราะมันไม่ค่อยได้ใช้ เชื่อไหมว่าทั้งครูผู้สอนและผู้เรียนคงจะเบื่อแบบชาตินี้ขอสาบส่ง มันจะเป็นไปได้ยังไงที่เรียนมาตั้งเป็นสิบๆปีแต่ไม่รู้เรื่องการผันกริยา เขียนประโยคก็ไม่เป็น เป็นแต่ทำข้อสอบที่เป็นตัวเลือก ก็ไม่อยากจะโทษใครเพราะทุกคนในเมืองไทยต่างก็ตกเป็นเหยื่อของระบบการศึกษาที่สร้างกันมาเอง พอเราสอนแต่เรื่องไวยากรณ์ ผลที่เกิดก็คือ เราก็ต้องออกข้อสอบทดสอบไวยากรณ์ ทำไงล่ะ ผู้สอนก็เอาประโยคที่ฝรั่งเขาเขียนไว้ดีแล้วมาเปลี่ยนแปลงให้มันผิด แล้วก็เอาไปถามเด็กว่ามันผิดตรงไหน ให้จับผิดและก็ให้แก้ให้ด้วย การทำแบบนี้ สอนให้เด็กเป็นคนชอบจับผิดโดยไม่รู้ตัวและก็ทำอย่างต่อเนื่องมาจนโต สรุป เราเรียนภาษาอังกฤษแต่ดันสอนให้เด็กเป็นนักจับผิด แล้วถ้าจำไม่ได้หรือทำอะไรผิด ต้องทำไง เด็กก็ต้องถูก 1. ทำโทษ 2. ประจาน 3. ทำให้เพื่อนร่วมห้องหัวเราะเยาะ ผลที่เกิดตามมาก็คือ เด็กเหล่านี้ไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษเพราะกลัวถูกหัวเราะเยาะและกลัวพูดผิดแล้ว ครูด่า เป็นแบบนี้กันทั้งประเทศ ผิดกับฝรั่ง เวลาเขาสอนภาษาอังกฤษให้คนไทย เขาจะอดทน ให้กำลังใจเด็ก เรียกว่าถ้าไม่เจอประเภทเต่าล้านปี เขาจะสอนแบบให้กำลังใจไม่ใช่บั่นทอนกำลังใจ
ในห้องเรียน ก็สอนแบบเน้นไวยากรณ์และสอนศัพท์ให้เด็ก มีบางที่ใช้เรียนจากวีดีโอหรือ you tube หรือเครื่องมือที่ทันสมัย แต่ส่วนใหญ่ก็เอาเครื่องเล่นมาเปิดแล้วให้เด็กพูดตาม หากเจอครูคนไหนที่มั่นใจ ก็จะออกเสียงให้เด็กออกเสียงตาม มันจะเป็นไปได้ยังไงที่ครูไทยไปเป็นแบบอย่างให้เด็กไทย ลองคิดดู หากเราต้องการให้เด็กไทยไปเรียนภาษาจีน เราอยากได้คนไทยมาสอนหรือคนจีนมาสอน เพราะฉะนั้น ผู้ปกครองก็ต้องส่งเด็กไปเรียนโรงเรียนที่มีเจ้าของภาษานั้นๆมาสอนเพราะมันได้อารมณ์ ได้feel ว่างั้น เริ่มจากตัวครูผู้สอน ส่วนใหญ่ก็จบจากการศึกษาในประเทศกันทั้งนั้น มีเพียงไม่เท่าไรหรอกที่ไปจบจากเมืองนอกเมืองนามา ลองคิดดูก็แล้วกัน ครูจบจากเมืองไทย เรียนภาษาอังกฤษจากครูที่จบจากเมืองไทยบ้าง (ส่วนใหญ่จะเป็นเมืองไทย) จะพูดได้เป็นธรรมชาติหรือออกเสียงได้ดีเท่าเขาหรือ มันเป็นไปไม่ได้ ภาษาที่พูดกันในห้องเรียนก็เป็นภาษาเขียนซะส่วนใหญ่ อันนี้ไปว่าครูเขาไม่ได้เพราะภาษาที่เขาเรียนมาก็คือหลักสูตรที่สอนให้พวกเขาเป็นแบบนั้น ไอ้ที่จะเจอฝรั่งสอนทั้งสี่ปีในห้อง ยากส์ยิ่งนัก ไหนจะเรื่องงบประมาณที่จำกัด ไหนจะหาครูฝรั่งแบบมือโปรมาสอนก็ยิ่งหายากเพราะฝรั่งที่เก่งจริงเขาไม่อยู่ตามโรงเรียนแบบนี้หรอก เขาจะไปอยู่โน่นเลย โรงเรียนนานาชาติ เพราะเงินดี สอนแล้วเห็นผลชัด หากเรามีปัญหาเรื่องงบประมาณ ก็ยังพอแก้ได้ และแก้ได้ง่ายมากด้วย จากนี้ไป ให้ติดคอมหรืออะไรก็ตามที่มันดูกันได้ทั้งห้อง แล้วหน้าที่อาจารย์คืออะไร ก็ไปหา you tube ดีๆ ที่เขาสอนเก่งๆ ออกเสียงศัพท์แต่ละคำให้มันชัด เอามาเปิดให้เด็กดูแล้วก็ให้เด็กออกเสียงตาม แบบนี้ รับรองว่าได้ผลระดับหนึ่งถึงแม้จะไม่เต็มร้อย เอาแค่ 50 % ก็พอ เพราะเราเป็นประเภทที่ไม่โลภ เชื่อไหม ถ้าผู้เรียนได้ยินได้ฟังมาก มันก็จะซึมซับเข้าไปเรื่อยๆ ก็มีคนถามว่าแล้วอาจารย์ทำหน้าที่อะไร อาจารย์ก็ไม่เหนื่อยหอบเหมือนเมื่อก่อน แค่คอยเดินไปเดินมาดูว่าเด็กคนไหนออกเสียงไม่ได้หรือมีปัญหาอะไร ก็เข้าไปช่วยแก้ แต่ไม่ต้องมาเป็นตัวหลักในการสอนเพราะมันเสียเวลา เสียพลังงานอย่างมาก อาจารย์บางคนได้รับอิทธิพลจากอเมริกาหรือบางคนชอบแบบอังกฤษ มันก็จะทะเลาะกันเองอีกเพราะผู้เรียนเจออผู้สอนชอบแบบนี้ ก็ต้องจำใจเรียนในแบบนี้ เพราะภาษาอังกฤษแบบคนอังกฤษและอเมริกันมันก็ต่างกันไม่น้อยแล้วถามว่าจะให้เด็กตามแบบไหน เอามันใหม่เลย ให้เด็กฟังจากของจริงคือ you tube แล้วให้เด็กเขาตัดสินใจเอง หน้าที่ครูต้องเปลี่ยนไป สอนไวยากรณ์ให้น้อยลงและเน้นการประเมินผลให้มาก เช่น ใน you tube สอนการออกเสียงผลไม้ 10 ชนิด เวลาสอบก็ให้เด็กออกเสียงพร้อมทั้งเขียนให้ดู วัดจากการเขียนก่อน ตัวอย่าง มะเขือเทศ =………. มะม่วง=……
นั่นคือการเขียน แต่ตอนออกเสียงก็ต้องเอาเด็กมาประเมินด้วย เช่น ในเทอมนี้สอนศัพท์ทั้งหมด 100 คำจาก you tube นะ แล้วก็เอามาสอบเขียน ส่วนสอบการออกเสียงก็เขียนคำศัพท์ไว้ 10 ชุด ชุดละ 10 คำ แล้วให้เด็กออกมาจับ เด็กก็ต้องเตรียมฝึกออกเสียงมาให้ดี เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะเจอกลุ่มที่ยากหรือง่าย แต่ที่สำคัญก็คือ เด็กมีโอกาสฝึกพูดเองที่บ้านโดยผ่าน you tube ที่สอนในห้อง บอกเด็กไปเลยว่าให้ไปโหลดมาฟังเอง อยากฟังเมื่อไร ก็กดปุ่มฟัง ไม่ใช่ พอเรียนที่โรงเรียนเสร็จก็จบแล้วจบกัน มาที่บ้านพ่อแม่ก็สอนกันไม่ได้อีก เรียกว่า ภาษาต้องเรียนที่โรงเรียนเท่านั้น มันอะไรกันนี่ เหตุผลที่ให้เลือกจาก you tube ก็เพราะผู้สอนเลือก you tube ที่ได้มาตรฐาน ไม่ใช่ฝรั่งที่ไหนก็ได้ เราก็เลือกของดีมาให้เด็กดูซิ ขนาดคนไทยเรายังพูดไม่เหมือนกัน บางคนพูดเร็ว บางคนพูดรัว ฝรั่งก็ไม่ต่างจากเราหรอก มีฝรั่งพูดช้า เร็วรัวติดอ่างเหมือนกันหมด เราต้องเลือกไอ้ที่มันเหมาะกับระดับของเด็กที่เรียน มาถึงเรื่องไวยากรณ์ นี่แหละทางของครูไทยเลย บอกแล้วว่าไวยากรณ์ ครูไทยถนัด ก็ลงไปที่ตรงนั้น แต่อย่าสอนกฎเกณฑ์มากจนเด็กงงเพราะครูก็งงแบบนี้มาก่อน เอาที่มันสอดคล้องกับใน You tube มาอธิบาย ส่วนนี้ก็ทำกันไป รับรองไม่นานหรอก ผู้เรียนจะติดใจเพราะเขาสามารถทบทวนได้ทุกที่ไม่ว่าจะมีครูหรือไม่
จะว่าไปก็สงสารครูสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทย ที่มีโอกาสเจอฝรั่งน้อยมาก แล้วฝรั่งที่เจอก็ไม่รู้อีกว่าไปเจอกันอีแบบไหนกันมา ส่วนใหญ่ก็เจอกันในห้องเรียน พอออกนอกห้อง ก็ตัวใครตัวมัน แบบนี้เยอะ ถามหน่อยแล้วจะเอามาตรฐานอะไรมาตัดสินคนที่เป็นอาจารย์สอนเด็กในโรงเรียน บัณฑิตคนหนึ่งจบจากจุฬา ธรรมศาสตร์แต่อีกคนจบจากมหาวิทยาลัยที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง ก็มีการแบ่งมาตรฐานกันอีก เวลาทดสอบว่าจะจ้างครูคนไหนมาสอนเด็ก ก็จะเลือกคนที่สำเนียงดีๆ ออกเสียงเก่งๆ แต่อย่าลืมไปนะว่าครูที่ออกเสียงดี สำเนียงดี ดีแค่ไหนก็ยังไม่ดีเพราะจริงๆ เราต้องการครูดีมีเมตตามาสอนเด็ก ก็เราบอกแล้วว่า เราจะไม่เอาครูที่สำเนียงดี เราจะเน้นครูที่ออกเสียงดี ถูกต้อง เช่น effect คนหนึ่งออกเสียงว่า เอ๊ฝเฟ็ค์ก ถึงจะมีสำเนียงดีเลิศเราก็ไม่สน เราจะสนคนที่ออกเสียงว่า อิ เฟ๊คก์ หรือคนที่ออกเสียงว่า present (N) กับ present (V) ถ้าคนที่จะมาเป็นครูออกเสียงสองคำนี้เหมือนกัน ก็อย่ารับมาเป็นครูเลย เพราะมันบ่งบอกว่า ไอ้ 4 ปีที่เรียนในมหาวิทยาลัยและไอ้อีก 10 ปีที่เรียนมาตั้งแต่เด็ก มันไม่ได้ช่วยอะไรเจ้าได้เลยหรือ เราก็ไม่เอา เพราะคำนี้ present เมื่อเป็นคำนามจะออกเสียงว่า เพร เซิ้นท์ แปลว่าของขวัญ และถ้าเป็นกริยาอ่านว่า พรี เซ๊นท์ แปลว่านำเสนอ เราจะดูที่คนออกเสียง เอาแบบออกเสียงให้ถูกต้อง เพราะสำเนียงมันเรียนรู้กันได้ แล้วเราจะเอา you tube มาสอน ทั้งครูผู้สอนก็ต้องเตรียมตัว แบบนี้น่าสนใจ เมื่อครูผู้สอนเตรียมตัวดี การดูแลผู้เรียนก็ต้องออกมาดี ทำไปสักระยะ เมื่อเด็กมีความรู้พอสมควรแล้ว จากนี้แหละจึงไปอัญเชิญฝรั่งตัวเป็นๆมาสอน นั่นแหละมันถึงจะเริ่มได้ผล ที่พูดมาทั้งหมด ไม่ได้ดูถูกอาจารย์ที่สอนอยู่แต่จะบอกให้รู้ว่า มันคือความจริง จะให้ครูที่จบการเรียนการสอนในเมืองไทยมาสอนภาษาอังกฤษ ฟังดูมันก็รู้แล้วว่าแปลก และถึงให้ครูที่จบจากเมืองนอกเมืองนามาก็ดีขึ้นมาอีกหน่อยเพราะได้เจอของจริงมาแล้ว แต่ก็เดี๋ยวเดียว เต็มที่ก็ปีเดียวหรือไอ้ที่เห็นกันก็มีแค่ 3 เดือน ไปซัมเมอร์ระเริงกันแล้วกลับมาแค่นั้น พวกที่เขาไปเรียนต่อเป็นสามสี่ปี กลับมา ภาษาเขายังส่งคืนฝรั่งเลยถ้าไม่ได้ใช้ ลองมาปรับเปลี่ยนความคิดกันดูตรงนี้
แล้วโรงเรียนที่มีการสอนสองภาษาแบบเด็กไทยไปเรียนในห้องแอร์แล้วเอาฝรั่งมาสอนเป็นบางวิชา ก็อย่านึกว่าจะได้ผล ได้นะได้ 1. คนเรียนหรือลูกเราได้เรียนห้องแอร์ ไอ้ที่ติดแอร์ก็ไม่ใช่อะไร ฝรั่งมันขี้ร้อน เดี๋ยวมันหงุดหงิดขึ้นมา มันไม่สอน แล้วจะทำไงดี ถ้าจะให้ดีต้องไปโน่นเลย โรงเรียน international ที่มีเด็กต่างชาติเรียนร่วมด้วย แบบนี้น่าทุ่มทุน เพราะจะให้ไปเรียนเมืองนอกทำไม ไหนๆก็ต้องจ่ายแพงอยู่แล้ว สู้ให้เด็กอยู่กับเราไม่ดีกว่าหรือ พวกที่เรียนในโรงเรียนลักษณะนี้ จบมาได้ผลเพราะเขาต้องใช้ภาษาอังกฤษเกือบตลอดเวลา ส่วนพวกที่เปิดเป็นโรงเรียนสอนสองภาษาแบบที่เห็นกันอยู่ทั่วไป ต้องปรับกระบวนทัพกันใหม่ ไม่งั้นจะเป็นการหลอกเงินผู้เรียน มันบาป คำถามต่อไปคือ แล้วเราจะเอาฝรั่งมาสอนเมื่อไร ก็เมื่อเด็กของเรารู้เรื่องมากขึ้นเพราะฝรั่งเขาค่าตัวแพง ก็ต้องให้ทำงานให้มันสมค่าตัวหน่อย มีสองระดับคือ เด็กที่กลัวฝรั่งจับมาให้ดมลูบคลำฝรั่งเป็นๆ เพื่อให้หายกลัว ให้รู้ว่าฝรั่งก็เป็นคนเหมือนเรา แบบนี้ พอเด็กหายกลัวก็เอาไปเรียนกับ you tube จนภาษาเริ่มดีขึ้น ค่อยเอามาพูดกับฝรั่งสักเล็กน้อยพอเป็นกระษัย ลองเก็บเอาไปคิดดู
การเรียนการสอนภาษามีหลายรูปแบบ หลายวิธี ไอ้วิธีที่เราใช้ก็คือแบบโบราณ สอนผ่านไวยากรณ์ พวกนี้น่ากลัว ไวยากรณ์แม่นมากถึงกับงงเองก็มี แต่ใช้ไม่ถูก กว่าจะพูดออกมาได้หนึ่งประโยค ต้องคิดแล้วคิดอีกว่ามันถูกไวยากรณ์ไหม มันใช้คำถูกต้องไหม พวกนี้อันตรายขอบอก นึกดู เวลาเราไปถามฝรั่งเรื่องไวยากรณ์ ฝรั่งมักตอบไม่ได้ อธิบายไม่เป็น ไปไม่ถูก ก็เพราะประเทศเขาสอนให้สื่อสาร ไม่ใช่ให้มาวิเคราะห์ภาษา เพราะฉะนั้น เวลามีปัญหาทางไวยากรณ์ ก็เชิญไปหาอาจารย์ไทยที่ทรงภูมิ แต่อย่าให้อาจารย์แกขยายความว่ามาก ระวังงง เอาแค่ที่จะเอาไปใช้ก็พอ เราลองคิดดูซิว่า ตอนเด็ก เราก็ถูกสอนให้จำคำประเภทที่เกิดมาชาตินี้ใช้แค่สองครั้ง เช่น อเนกถประโยค สกรรมกริยา อกรรมกริยา คำเป็น คำตาย (คนเรียนนั่นแหละจะตาย) คำพวกนี้สอนไปทำไมเพราะชีวิตจริงมันไม่ได้ใช้ ไปดูแม่ค้าพ่อค้า ชาวนาชาวสวนที่ไม่ได้เรียนหนังสือแบบเรา เขาพูดสื่อสารได้ดีกว่าเราก็มีให้เห็นอยู่ทั่วฟ้าเมืองไทย จึงอยากจะบอกว่า ภาษาไทยก็ไม่ควรสอนเรื่องพวกนี้ เพราะเด็กไทยกลับบ้านก็เจอผู้คนใช้ภาษาไทยกันทั้งวันทั้งคืน เขาก็จะพูดภาษาไทยได้โดยไม่ต้องสอนมาก แต่ถ้าเป็นเรื่องการเขียน นั่นเป็นอีกประเด็นหนึ่งเพราะฉะนั้น เมื่อลูกหลานมาถามเรื่องคำศัพท์เฉพาะทาง หรือคำผสม คำอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่าง เราก็จะตอบไม่ได้เช่นเดียวกัน เอาเป็นว่าเราสอนสิ่งที่ไม่ได้ใช้หรือใช้น้อยเต็มที ส่วนกลุ่มที่สองที่หวังจะให้ผู้เรียนสื่อสารได้ เจตนาดีมาก แต่อย่าลืมว่าตัวเองไปคลุกคลีกับฝรั่งมานานแค่ไหน สำนวนที่ใช้มันใช่หรือเปล่า เพราะฝรั่งจริงๆ เขาใช้แบบไหนรู้ไหม อย่าเอาตัวเองไปเป็นบรรทัดฐานล่ะ น่ากลัว มาดูสิ่งที่จะพอเป็นไปได้ (ไม่ใช่วิจารณ์แล้วไม่เสนอทางออก ที่เขียนมานั้นไม่ใช่วิจารณ์แต่เป็นการแสดงความคิดเห็น เพราะถ้าวิจารณ์มันจะต้องเจ็บปวดกว่านี้) เอาเข้าจริง ทางออกก็คือ ทุกโรงเรียนต้องมีฝรั่งอยู่อย่างน้อย 1 คน นี่พูดถึงงบประมาณด้วย หากมีมากก็ยิ่งดี ไม่เชื่อลองดู เวลามีปัญหา ไปถามฝรั่งที่มีอยู่ แต่ถ้ามีสองคนก็ถามสองคน ถ้าเขาให้ความเห็นตรงกัน ก็โอเค แต่ถ้าหลายคนอาจเจอความขัดแย้ง คำตอบที่ได้อาจะไม่เหมือนกัน เหมือนเมื่อเวลาเราไปหาหมอ แล้วเราต้องการคำแนะนำจากหมอสองคน ยังไงยังงั้น แล้วทำไมต้องมีฝรั่งเยอะ ในเมื่อมีเยอะแล้วมันไม่คุ้ม เด็กมันพูดไม่ได้เพราะไม่กล้าพูด จะจ้างเอามาทำไม เอาไอ้ที่แน่ๆ เจ๊งๆ สองคนก็พอแล้ว เอาไอ้ที่มีวิญญาณเป็นครูนะ ต้องใจดีมีเมตตา ทำนองนั้น
การออกข้อสอบเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แปลกที่สุด ข้อสอบคนไทยทำก็คือ ไปเลือกบทความมาแล้วก็เอามาหยิบตัวโน้นออก ตัวนี้ออก แล้วให้เด็กทำ โอ้โห เสียเวลามากทั้งคนทำและคนหาข้อสอบมาให้ทำ เอางี้ สอนอะไรก็ต้องออกสิ่งที่สอน เพราะแค่ที่สอน เด็กมันยังทำไม่ได้ แล้วไปเอาข้างนอกมาออก มันก็จะยิ่งไปกันใหญ่ ที่สำคัญคือ เด็กจะเกิดทัศนคติว่าภาษามันยาก มันน่ากลัวยิ่งกว่าผีแม่นาคซะอีก เน้นเลยว่าสอนอะไรออกไอ้ที่สอน ส่วนจะวัดเด็กที่ประยุกต์เป็นเพื่อหาเด็กที่สมควรได้รับเกรด a ก็เอามาแค่พอหอมปากหอมคอ เพราะมิฉะนั้น คุณมีส่วนทำร้ายเด็ก เอาล่ะ กลับมาดูว่า แล้วจะประเมินผลกันอย่างไร การประเมินผลที่ดีที่สุดคือ เขียน เขียนเป็นประโยคสั้นๆ โดยเอาประโยคที่ฝรั่งเขาเขียนมาให้ดูมากๆจนซึมซับเข้าไปเลย เอาแบบนั้น อยากให้ผู้เรียนเขาเรียนรู้อะไร ก็ไปหาประโยคที่เกี่ยวกับที่เรียนมาให้เด็ก ค่อยๆขยับเป็นเรื่องสั้นๆเช่นนิทานหรืออะไรก็ตามที่แต่ละคนอยากให้ ก็มานั่งระดมความคิดกันซิว่าอะไรมันเหมาะกับเด็กที่กำลังสอนมากที่สุด และในที่สุด ผู้เรียนก็จะมีความสุขและผู้สอนก็มีความสุข แล้วผลออกมาก็คือ เด็กก็จะพูดได้มากขึ้น เขียนได้มากขึ้น (ทักษะการทำข้อสอบแบบเดิมๆ ไม่ต้องพูดถึง ไอ้ที่วงกลมหรือฝนแบบนั้น ลิงก็ทำได้) และที่สำคัญก็คือ พยายามให้กำลังใจเด็กเยอะๆ ไม่ใช่เอาแต่ข่มขู่คุกคาม
เมื่อมาถึงระดับมหาวิทยาลัย ปัญหาก็จะน้อยลง ไม่ใช่ พอขึ้นไปเรียนระดับมหาวิทยาลัย ก็เจอเคราะห์กรรมเดิมๆอีก นั่นคือ เรียนไวยากรณ์กันใหม่ เด็กจบ ม 6 คงจะหลงดีใจว่า พอกันที ภาษาอังกฤษสมัยมัธยม อย่าเพิ่งดีใจไป เดี๋ยวจะหนาวเพราะมันจะมาหลอนอีกรอบ คนที่เรียนในมหาวิทยาลัยก็จะเจอครูอีกแบบหนึ่ง แบบนี้ออกจะพูดเก่ง มีสำเนียงแต่โทษทีโหด ไม่มันส์และไม่ฮาด้วยเพราะเขาถือว่าคุณโตแล้ว เมื่อเรียนไม่รู้เรื่อง ก็ต้องไปค้นคว้าเอง และผู้เรียนส่วนใหญ่ก็จะเกิดความเครียดอีกครั้ง จะยากอะไร ก็ไปที่เรียนตามสถาบันสอนภาษา เอาแบบชนิดเข้มข้น หรือจ้างครูมาสอน ก็เอาแบบ ขอเรียนจาก you tube เป็นหลัก จนพอรู้เรื่องแล้วค่อยบอกเลิกจ้างครู ในที่สุดของชีวิต เราต้องหาวิธีศึกษาภาษาด้วยตัวเองโดยผ่านเทคโนโลยี่ให้ได้เพราะเราจะอยู่กับครูเป็นๆได้เพียงไม่นาน แต่เราต้องอยู่กับตัวเองและสังคมจริงๆไปอีกทั้งชีวิต ทั้งหมดที่เขียนให้อ่านคือความจริงล้วนๆ อยากให้ประเทศเราเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่มานั่งโทษกันว่าเป็นเพราะครูตอนมัธยมสอนไม่ดี ครูสอนมัธยมก็โทษครูประถมว่าห่วย สรุปคือคนห่วยโทษคนห่วย แล้วมันจะดีได้ยังไง ยุคนี้มันต้องคิดหาทางออกแต่ไม่ใช่มาระบายอารมณ์ใส่กัน ส่วนเด็กที่เขาไม่มีหัวทางนี้ เรียกว่าไม่ได้จริงๆ เหมือนจับเอาเด็กช่างกลมาเรียนภาษา หรือเอาเด็กที่ชอบเรียนภาษาไปซ่อมเครื่องจักรเครื่องกล แบบนี้ ก็ต้องปล่อยเขาไป ให้เขาไปทำสิ่งที่ชอบมาส่งแล้วก็ให้เขาผ่านไปซะเถอะ อย่ามาคาดหวังให้คนมันเก่งไปหมด และการเรียนรู้ที่แท้จริงนั้นมันอยู่นอกห้องต่างหากเล่า ความรู้ในห้องเป็นเพียงการจำลองเท่านั้น แต่ของจริงมันคือชีวิตที่ต้องเจออะไรมากมาย เอาล่ะ พอเห็นภาพเห็นปัญหากันแล้ว ก็ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องนำไปพิจารณาด้วย
แหล่งที่จะนำท่านเข้าไปหาข้อมูล ก็เป็น you tube ที่ท่านต้องการจะนำมาสอน จะเน้นด้านไหน เขามีหมด ไปจับกลุ่มลุยกันได้เลย ส่วนที่คนที่อยากเริ่มต้นหรืออยากจะพัฒนาภาษาก็สามารถเข้าไปดูที่
Rongchang.com
Randal
VOA for ESL
และอีกมากมาย ของคนไทยเราก็มีคุณ Andrew Biggs, Cris, Adams , English breakfast ขอย้ำ เลือกส่วนที่เหมาะสมกับเรา อย่าไปดูทั้งหมด หรือดูคราวเดียวหมด มันเป็นไปไม่ได้ ขนาดภาษาไทยเราเอง เรายังต้องใช้เวลาขนาดไหนกว่าจะพูดได้เขียนได้ เพราะฉะนั้น อย่าทำอะไรเกินตัว เพราะของอะไรก็ตามที่เรียนรู้มาแล้วหาที่ใช้ไม่ได้ มันจะเกิดอารมณ์เซ็งอย่างบอกไม่ถูกที่เดียว
ขอให้โชคดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น