วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2564

What if…. + S + V?

 What if…. + S + V?

What if I tell her about the secret?
= อะไรจะเกิดขึ้นถ้าฉันบอกเธอเกี่ยวกับความลับนี้

What if I die now.
= อะไรจะเกิดขึ้นถ้าฉันเด็ดสมอลเล่ย์ซะตอนนี้

What if he is against you.
= อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเขาต่อต้านคุณ

What if I don’t have any money?
= อะไรจะเกิดขึ้นถ้าฉันไม่มีเงินเลย

What if I get lost in the forest?
= อะไรจะเกิดขึ้นถ้าฉันหลงป่า

What if we get to work late?
= อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเราไปทำงานสาย

What if the traffic is bad?
= อะไรจะเกิดขึ้นถ้ารถติด

What if he knows about the secret?
= อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเขารู้ความลับ

What if Dad knows the truth?
= อะไรจะเกิดขึ้นถ้าพ่อรู้ความจริง

What if it rains while we are on stage?
= อะไรจะเกิดขึ้นถ้าฝนตกตอนที่เรากำลังแสดง


อาจเป็นรูปภาพของ ธรรมชาติ, แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า, พื้นหญ้า และต้นไม้

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2564

If you are mindful of death

If you are mindful of death,
it will not come as a surprise—
you will not be anxious.
You will feel that
death is merely changing your clothes.
Consequently,
at that point
you will be able to maintain
your calmness of mind.

หากรู้ทัน ใจกาย แล้วได้คิด
เพ่งพินิจ ความตาย จนถ่องแท้
รู้เท่าทัน ในทุกอย่าง มีผันแปร
ไม่เที่ยงแท้ แน่นอน เสมอไป

เมื่อเข้าใจ แล้วใจเรา ไม่เศร้ามาก
หากใครจาก รู้ดีว่า ไม่ไปไหน
เพียงเปลี่ยนรูป เปลี่ยนร่าง เป็นอื่นไป
ความดีไซร้ ที่คงอยู่ อย่างจีรัง

หากเข้าใจ ในเรื่อง ของการดับ
เมื่อใจรับ ความโศกเศร้า แล้วปล่อยหาย
ได้รับรู้ ความสับสน และวุ่นวาย
เปลี่ยนกลับกลาย สงบนิ่ง ในทันที


ศัพท์สำนวน
เริ่มกันที่สำนวนแรกเลย
to be mindful of + สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น หมายความว่า มีสติรู้เท่าทันในสิ่งนั้น เช่น

You must be mindful of your anger and you will be able to handle it.
= หากคุณมีสิตรู้เท่าทันความโกรธแล้ว คุณก็จะสามารถจัดการกับมันได้ (ไม่ใช่เข้าไปจัดการกับคนที่คุณโกรธได้)

ดังนั้นในคำกล่าวว่า
If you are mindful of death, it will not come as a surprise—you will not be anxious.
ก็จะมีความหมายว่า หากคุณมีสติรู้เท่าทันในความตาย ความตายนั้นก็จะไม่ทำให้คุณประหลาดใจเลย เพราะคุณจะไม่กังวลอะไร (ก็อยู่แล้ว หากเรารู้เท่าทันในสิ่งใด สิ่งนั้นก็ไม่สามารถทำให้เราเกิดอาการบ้าบอ หงุดหงิดได้หรอก จริงไหม)

สำนวนที่สามารถนำไปใช้ได้ก็คือ
to come as a surprise หมายถึง เกิดขึ้นมาทำให้ประหลาดใจ
โครงสร้าง to come as + ความรู้สึก จะหมายถึง ความรู้สึกแบบนั้นเกิดขึ้น เช่น
It comes a shock. = มันทำให้ตกใจ เป็นต้น

และก็ต่อด้วย
You will feel that death is merely changing your clothes.
= คุณจะรู้สึกว่า ความตายนั้นเป็นเพียงการเปลี่ยนเสื้อผ้าเท่านั้น (คิดได้และทำได้อย่างนี้ก็เจ๋งมากเลย)

คำว่า merely นั้นหมายถึง เพียงแต่ว่า เหมือนกับ only
ส่วนประโยคต่อไปคือ

Consequently, at that point you will be able to maintain your calmness of mind.
= ดังนั้น เมื่อถึงจุดนี้ คุณจะสามารถรักษาความสงบของจิตใจไว้ได้

คำว่า consequently ก็คือ ดังนั้น เหมือนกับคำว่า so, therefore, then, as a result ซึ่งคำทั้งหมดล้วนใช้แสดงผลทั้งสิ้น เช่น
He is lazy, so he failed the test. = เขาขี้เกียจ จึงสอบตก

ส่วนสำนวนอื่น at this point ก็คือ ถึงจุดหนึ่ง คุณจะสามารถรักษาความสงบของจิตใจได้
สำนวน to maintain your calmness of mind เป็นสำนวนที่ดี
คำว่า to maintain + อะไร ก็หมายความว่า รักษาไว้ได้ซึ่งสิ่งนั้น เช่น

He can maintain his good health but he cannot maintain his wealth.
= เขาสามารถดูแลรักษาสุภาพที่ดีได้แต่รักษาเงินทองไว้ไม่ได้

อาจเป็นภาพระยะใกล้ของ ดอกไม้

 

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2564

Each day ,please look for the little things

Each day ,please look for the little things like the feel of the breeze, the song of birds, the good smell of bread, and cherish them.


For, although it may sound boring to some, these things are the “stuff” of life. The little things we are put here on earth to enjoy.


The things we often take for granted.


We must make it important to notice them, for at any time…it can all be taken away.


แต่ละวัน ให้มองหาสิ่งเล็กๆน้อยๆเช่น ความรู้สึกที่ลมเย็นพัดผ่าน เสียงนกร้อง กลิ่นหอมของขนมปัง แล้วชื่นชมมัน

อาจแลดูเหมือนเป็นสิ่งที่น่าเบื่อสำหรับบางคน แต่มันคือสิ่งสำคัญของชีวิต สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ที่โลกมีไว้ให้เราชื่นชม

และเป็นสิ่งที่เรามักละเลยกัน

เราต้องหมั่นสังเกตและชื่นชมสิ่งเหล่านี้ เพราะเราไม่รู้หรอกว่า เราจะมีโอกาสได้สัมผัสสิ่งเหล่านั้นได้นานแค่ไหน


อาจเป็นรูปภาพของ นก และธรรมชาติ

วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2564

Happiness does not depend on what you have or who you are.

 “Happiness does not depend on what you have or who you are.

It solely relies on what you think.”

“It is ridiculous to think that somebody else can make you happy or unhappy.”


ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรามีอะไรหรือเราเป็นใคร
แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราคิดล้วนๆ
ช่างน่าขันนักที่คิดว่าคนอื่นสามารถทำให้เราสุขหรือทุกข์ได้

สำนวนชวนรู้

to depend on + ใครหรืออะไร หมายถึง พึ่งพิง พึ่งพา ไว้ใจ ไปขึ้นอยู่กับคนๆนั้นหรือสิ่งสิ่งนั้น เช่น

Thailand’s economy depends on tourism.
= เศรษฐกิจของประเทศไทยขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยว (พึ่งพาการท่องเที่ยว)

The cooking time depends on the size of the chicken.
= เวลาในการปรุงขึ้นอยู่กับขนาดของไก่

The investment depends on the economy.
= การลงทุนขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจ

You can depend on me.
= คุณสามารถไว้ใจฉันได้

The price of the house depends on the location.
= ราคาของบ้านขึ้นอยู่กับทำเล

The cost of living depends on the city you go to.
= ค่าครองชีพขึ้นอยู่กับเมืองที่คุณจะไป

Children depend on their parents.
= เด็กๆพึ่งพาพ่อแม่

Everything depends on him.
= ทุกอย่างก็สุดแต่เขา (ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเขา)

Don’t depend on that guy. He is not good.
= อย่าไปไว้ใจชายคนนั้น เขาไม่ใช่คนดีนะ

และสำนวนIt depends. หมายถึง สุดแท้แต่ หรือ แล้วแต่

I don’t know how long I will stay here. It depends.
= ฉันก็ยังไม่รู้เลยว่าจะพักอยู่ที่นี่นานแค่ไหน ทั้งนี้ก็แล้วแต่

We can’t decide which restaurant we will go. It depends.
= เรายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปกินที่ภัตตาคารไหน ก็แล้วแต่

to rely on = ไว้ใจ = to depend on
solely = only เพียงแต่
ridiculous = ไร้สาระ งี่เง่า น่าขัน น่าหัวเราะเยาะ (สิ่งนั้นมันงี่เง่า)

His idea is totally ridiculous.
= ความคิดเขามันน่าขันสิ้นดี (ไร้สาระ)

I thought his behavior is quite ridiculous.
= ฉันคิดว่าพฤติกรรมของเขาน่าขัน (งี่เง่า) (ไร้สาระ)

Don’t be ridiculous.
= อย่างี่เง่าน่า

It is ridiculous to think that that guy loves her.
= (ช่างไร้สาระ) งี่เง่าที่คิดว่าชายคนนั้นรักหล่อน

โครงสร้างที่อยากให้เอาไปฝึกใช้ก็คือ
It’s ridiculous to + v เช่น

It’s ridiculous to worry about what can’t be changed.
= ช่างงี่เง่า(ช่างไร้สาระ) (ช่างน่าขัน) (ตลกน่า)ที่จะกังวลสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้

It’s ridiculous to fall in love with such a bad guy.
= (ไร้สาระ) งี่เง่านะที่ไปหลงรักคนเลวๆแบบนั้น

It’s ridiculous to trust a politician.
= ช่างไร้สาระนักที่ไปเชื่อนักการเมือง

It’s ridiculous to live in a 3 bed-room apartment alone.
= ตลกว่ะที่จะอยู่ห้องชุดขนาด 3 ห้องนอน คนเดียว

It’s ridiculous to go to a bar during the COVID outbreak.
= (ช่างไร้สาระนัก) งี่เง่านะที่จะไปเที่ยวบาร์ในช่วงโควิดระบาด

เราสามารถเพิ่มความเข้มข้นของอารมณ์ได้ เรียกว่าเอาให้มันสุดๆ เช่น ช่างไร้สาระสิ้นดี งี่เง่าสิ้นดี น่าขันสิ้นดีสุดๆ คำว่า สิ้นดี เราจะใช้คำขยายในกลุ่มนี้ สลับสับเปลี่ยนกันได้ แต่ห้ามใช้คำว่า very ไปขยายคำนี้แต่จะใช้ quite / completely/ totally / absolutely

@@@@@@@@@@@@@@@


"There is no path to happiness. Happiness is the path.”

ไม่มีเส้นทางใดที่จะนำพาไปสู่ความสุข เพราะความสุขคือเส้นทาง


อาจเป็นรูปภาพของ มหาสมุทร, แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า, ธรรมชาติ และท้องฟ้า