วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Rumor has it that + S + V

 มนุษย์เราเกิดมาเพื่อสื่อสารกันเพราะฉะนั้น มีอะไรๆก็ต้องเอามาเล่าสู่กันฟัง เม้าส์มันส์สบายใจ ยิ่งเป็นเรื่องข่าวลือด้วยแล้ว ก็ยิ่งสนุกไปกันใหญ่ เพราะข่าวลือส่วนใหญ่มันจริงซะที่ไหน มันก็มโนกันไปเพื่อความสบายจิตสบายใจอย่างเดียวเท่านั้น แต่บางข่าวก็เป็นจริง ทั้งข่าวดีข่าวไม่ดี ก็มีสิทธิ์ถูกลือได้หมด หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบลือ ก็ต้องขอบอกว่า เอาสำนวนนี้ไปใช้ได้ทันที

Rumor has it that + S + V
แล้วก็จะมักต่อด้วยว่า จริงไหม Is it true? จะใช้ Is that true? ก็ได้ แล้วแต่ชอบ
ตัวอย่าง
"Rumor has it that that guy likes you. Is it true? (Is that true?)
= ลือกันว่าพ่อหนุ่มคนนั้นชอบเธอ จริงไหม
Rumor has it that she cheated on him. Is it true? (Is that true?)
= ลือกันว่า หล่อนนอกใจเขา จริงไหม
Rumor has it that they are going to get married. Is it true? (Is that true?)
= ลือกันว่า พวกเขากำลังจะแต่งงานกันจริงไหม
Rumor has it that you are going to dump him. Is it true? (Is that true?)
= ลือกันว่าเธอกำลังจะทิ้งเขา จริงไหม
Rumor has it that your relationship is going to end. Is it true? (Is that true?)
= ลือกันว่าความสัมพันธ์ของพวกเธอกำลังจะขาดสะบั้น จริงไหม
“Rumor has it that he is going to be promoted to manager." Is it true? (Is that true?)
= ลือกันว่าเขาจะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการ จริงไหม
Rumor has it that you have won the lottery. Is it true? (Is that true?)
= ลือกันว่าเธอถูกหวย จริงไหม
Rumor has it that you are in big trouble. Is it true? (Is that true?)
= ลือกันว่า เธอกำลังเดือดร้อนมาก จริงไหม
Rumor has it that she is in debt. Is it true? (Is that true?)
=ลือกันว่าหล่อนติดหนี้ จริงไหม
Rumor has it that the company went bankrupt. Is it true? (Is that true?)
= ลือกันว่า บริษัทล้มละลาย จริงไหม
"Rumor has it that she has refused our invitation.” Is it true? (Is that true?)
= ลือกันว่าหล่อนปฏิเสธคำเชิญของเรา จริงไหม
Rumor has it that he will not return. Is it true? (Is that true?)
=ลือกันว่า เขาจะไม่กลับมาอีก จริงไหม
"Rumor has it that you are using him.” Is it true? (Is that true?)
= ลือกันว่าเธอกำลังหลอกใช้เขา จริงไหม
Rumor has it that you are going to make up with your ex-boyfriend. Is it true? (Is that true?)
= ลือกันว่าเธอจะคืนดีกับแฟนเก่า จริงไหม
Rumor has it that you can’t get over your girlfriend. Is it true? (Is that true?)
= ลือกันว่าเธอยังทำใจลืมแฟนเก่าไม่ได้ จริงไหม
Rumor has it that you are falling in love. Is it true? (Is that true?)
= ลือกันว่า เธอกำลังมีความรัก จริงไหม
Rumor has it that your mom can’t get over the loss of your dad. Is it true? (Is that true?)
= ลือกันว่า แม่ยังทำใจลืมการเสียชีวิตของพ่อไม่ได้ จริงไหม
สรุปเป็นว่า อยากจะเม้าส์ว่าลืออะไรกัน ก็ใช้สำนวนนี้ไป
ส่วนกริยานั้นสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาที่ลือ เช่น หากลือว่า เขาจะเลิกกัน ก็ต้องเป็นอนาคตแต่ถ้าเลิกกันแล้ว ก็เป็นอดีต หรือกำลังคิดจะเลิก ก็ใช้รูป to be + ing เช่น
Rumor has it that she is going to break up with her boyfriend.
= ลือกันว่าหล่อนกำลังจะเลิกกับแฟน (แน่ๆ)
Rumor has it that she has broken up with her boyfriend.
= ลือกันว่าหล่อนเลิกกับแฟนแล้ว (ใช้ has + broken เพราะเลิกแล้ว)
เป็นต้น
หรือลือกันว่า เขาติดยาเสพติด ก็
Rumor has it that he is addicted to drugs. Is it true? (Is that true?)
Rumor has it that he takes drugs. Is it true? (Is that true?)
= ลือกันว่าเขาเสพยา จริงไหม
Rumor has it that she sells / deals drugs. Is it true? (Is that true?)
=ลือกันว่าหล่อนค้ายา จริงไหม
ในภาพอาจจะมี ต้นพืช, ดอกไม้, ธรรมชาติ และสถานที่กลางแจ้ง

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2563

The Change

 Those who resist the change suffer most.

Those who accept the change suffer less.
Those who go with the change suffer least.
Those who enjoy the change are the happiest because they understand the universal truth.

คนที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงจะทุกข์ที่สุด
คนที่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงจะทุกข์น้อยลง
คนที่อยู่กับความเปลี่ยนแปลงจะทุกข์น้อยที่สุด
คนที่สนุกกับความเปลี่ยนแปลงจะมีความสุขที่สุขเพราะเข้าใจในสัจธรรมของโลก




วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2563

True words

 True words aren't sweet;

sweet words aren't true.
Wise men don't need to prove their point;
men who need to prove their point aren't wise.

คำพูดจริงไม่เพราะ
คำพูดเพราะไม่จริง
คนฉลาดไม่จำเป็นต้องพิสูจน์สิ่งที่พูด
คนที่ต้องคอยพิสูจน์สิ่งที่พูดนั้นไม่ฉลาด

สำนวนชวนรู้

สำนวน to prove a point = พิสูจน์ประเด็น
คำว่า point หมายถึง ประเด็น ความคิด

That is an interesting point.
= นั่นเป็นประเด็นที่น่าสนใจ

There are some good points we should remember.
= มีบางประเด็นที่ดีที่เราควรจำไว้

I think you missed the point.
ฉันว่า คุณหลงประเด็นแล้ว

Point taken.
=เข้าใจประเด็นแล้ว

Let’s get to the point.
=เรามาเข้าประเด็นกันเถอะ

That’s not the point.
= นั่นไม่ใช่ประเด็น (ไม่ใช่สาระสำคัญ)

I can see your point.
= ฉันเข้าใจประเด็นของคุณแล้ว

สำนวน don’t need to + v./ doesn’t need to
หมายถึง ไม่จำเป็นต้อง เช่น

I don’t’ need to go with you.
= ฉันไม่จำเป็นต้องไปกับคุณ

She doesn’t need to marry him.
= หล่อนไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับเขา

และหากความหมายเป็นบอกเล่า need to = จำเป็นต้อง เช่น

You need to wear properly when visiting temples.
= คุณจำเป็นต้องแต่งกายให้เรียบร้อยเมื่อไปเที่ยวชมวัด

He needs to work hard to earn money for his family.
= เขาจำเป็นต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินสำหรับครอบครัว




วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Accept the Truth

 

Sometimes you have to accept the truth and stop wasting time on the wrong people.



บางที เราต้องยอมรับความจริงและเลิกเสียเวลากับคนที่ไม่ใช่




วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Give somebody a hard time

 Give somebody a hard time

= มาทำให้เดือดร้อน มาทำให้ลำบากใจ ทำให้เหนื่อยอกเหนื่อยใจ
ทุกอย่างที่เราเจอในชีวิต คน สัตว์ สิ่งของ อะไรก็ตามแต่ที่มันทำให้เรารู้สึกว่า อึดอัด ไม่สบายใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่เท่าหมีควายหรือเรื่องเล็กเท่ากับมดแดง ก็ตามที หากมันทำให้เกิดอาการอย่างที่ว่า เราสามารถใช้ได้หมด เช่น

Stop giving me a hard time. There’s nothing I can do about it
= เลิกมาทำให้ลำบากใจซะที ฉันทำอะไรกับมันไม่ได้

If you can’t pass the exam, Dad will give you a hard time.
= ถ้าสอบตก พ่อแกจัดการแกแน่ (แกเดือดร้อนแน่ประมาณนั้น) พ่อต้องบ่น ต้องดุด่าว่า และอื่นๆอีกสารพัด

เอาเป็นว่า a hard time คือช่วยเวลาที่มีปัญหา ช่วงเวลาที่ลำบาก ราวๆนั้น
แต่ถ้าหากพ่อแม่ใจดี แม้ลูกสอบตกหรือทำอะไรผิดพลาด ก็ไม่เคยดุด่า กดดัน แบบนี้เราก็สามารถใช้ว่า

My parents never give me a hard time. ก็เป็นอันโชคดีไปชาตินี้

My friend gave me a hard time. He asked me to talk to the boss about the mistake.
= เพื่อนทำให้ฉันลำบากใจ ( เอาแล้ว เอาปัญหามาให้แล้ว) ขอร้องให้ฉันไปพูดกับหัวหน้า เกี่ยวกับความผิดพลาด

และหากต้องการจะเน้นว่า มันเป็นเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจมากๆ ก็สามารถเน้นดีกรีความหนักอกหนักใจเข้าไปได้อีก โดยใช้ว่า really แหย่เข้าไปหน่อย ก็จะได้อารมณ์แบบสุดๆ

Mom always gives me a really hard time when we talk about my boyfriend.
แม่ทำให้ฉันเหนื่อยอกเหนื่อยใจจริงๆ เวลาพูดถึงเรื่องแฟน




วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Down to Earth

 Down to Earth

= ติดดิน เป็นกันเอง

I have never seen such a down-to-earth super star like her.
= ฉันไม่เคยเจอดารายอดนิยมที่ติดดินแบบนี้มาก่อน

Some celebrities are really down to earth but most of them are arrogant.
= คนดังบางคนติดดิน เป็นกันเองมากแต่ส่วนใหญ่จะหยิ่ง




วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Life is full of pain

 Life is full of pain,

but does it ever get better?
Will people ever care about each other,
and make time for those who are in need?
Each of us has a part to play
in this great show we call life.
Each of us has a duty to mankind
to tell our friends we love them.
If you do not care about your friends
you will not be punished.
You will simply be ignored…
ignored…
as you have done to others.
ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
แต่ความเจ็บปวดนั้นจะไม่จางหายไปเลยหรือ
ผู้คนจะไม่ใส่ใจใยดีต่อกันบ้างเลยหรือไร
และไม่คิดจะหาเวลามาใส่ใจคนที่ทุกข์ใจกันเลยหรือ
จริงอยู่ แต่ละคนนั้นมีหน้าที่ที่ต้องทำ
บทบาทหรือหน้าที่ที่เราเรียกว่า หน้าที่ของชีวิต
แต่ละคนต่างมีหน้าที่ต่อมวลมนุษยชาติ
ในการที่จะบอกเพื่อนๆของเราว่า เรารักพวกเขานะ
หากคุณไม่ใส่ใจใยดีกับเพื่อนแล้ว
ไม่มีใครจะมาลงโทษคุณหรอก
แต่ที่สุดแล้ว จะไม่มีใครมาสนใจคุณ
เหมือนที่คุณไม่สนใจคนอื่นเขา
ศัพท์สำนวน
ขึ้นมาข้อความแรกก็น่าสนใจแล้ว
เห็นไหม เขาบอกว่า ชีวิตนั้นมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
สำนวน to be full of + สิ่งใดหรือใคร
ก็คือ เต็มไปด้วยสิ่งนั้นหรือคนเหล่านั้น เช่น
The bus is full of people.
= รถประจำทางเต็มไปด้วยผู้คน
ข้อความLife is full of pain จึงหมายถึง ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว และต่อด้วยข้อความถามใจเราเองว่า เอ แล้วมันมีวันที่จะดีขึ้นไหม นั่นคือ but does it ever get better?
คำถามที่เขาถามต่อคือ แล้วคนเราจะใส่ใจดูแลกันไหมเนี่ยะ
โครงสร้างที่เขาใช้ก็คือ Will + คน + ever care about + คนหรือสิ่งของ
ก็จะหมายถึง คนๆนั้นเคยคิดที่ใส่ใจกันหรือเปล่า หรือจะเป็นการบรรยายการกระทำอื่นๆก็ได้นา
แต่ในข้อความนี้เขาเน้นถึงความใส่ใจต่อกัน
Will people ever care about each other,
ส่วนข้อความต่อมาก็คือ แล้วคนเราเคยหาเวลาให้กับคนที่เดือดร้อนกันบ้างไหมหนอ
ภาษาอังกฤษเขาใช้ว่า and make time for those who are in need?
สำนวน to make time ก็คือ หาเวลา จัดเวลา เช่น
I will make time to meet you.
=ฉันจะหาเวลาไปเจอเธอนะ
ส่วนสำนวนว่า Those who are in need นั้นมาจากสำนวนเดิมว่า to be in need ก็คือ ที่เดือดร้อน นั่นเอง
ข้อความถัดมาก็คือ
Each of us has a part to play in this great show we call life.
=แต่ละคนนั้นมีบทบาทของตัวเองที่จะต้องเล่นในเวทีที่ใหญ่เวทีนี้ซึ่งเราเรียกว่า เวทีแห่งชีวิต (เป็นไง คมไหม หลบให้ดี ระวังบาด)
สำนวน to have a part to play ก็จะหมายถึง มีบทบาทให้เล่น
ส่วน in this great show ก็คือ การแสดงที่ยิ่งใหญ่การแสดงนี้ ของเราก็จะหมายถึง เวทีนั่นแหละ
แล้วจากนั้นก็มาต่อด้วย ข้อความที่กินใจอีกเช่นเคย ที่ว่า
Each of us has a duty to mankind to tell our friends we love them. =แต่ละคนนั้นมีหน้าที่ต่อมวลมนุษยชาติที่จะบอกเพื่อนๆของเราว่าเรารักพวกเขานะ
สำนวนที่พอจะเรียนรู้ได้จากข้อความนี้ก็คือ to have a duty to + ใคร + to กริยา ก็จะหมายถึง มีหน้าที่ต่อคนนั้นในการทำสิ่งต่างๆ เช่น
ต้องการจะบรรยายว่า ฉันมีหน้าที่ต่อครอบครัวที่จะต้องดูแล เราก็ใช้ว่า I have a duty to my family to take care of them. เป็นต้น
และต่อด้วยข้อความว่า
If you do not care about your friends, you will not be punished. =หากคุณไม่ใส่ใจในตัวเพื่อนคุณแล้ว คุณก็จะไม่ถูกทำโทษหรอก ก็คือ ไม่มีใครทำโทษคุณหรอก
และตบท้ายด้วย
You will simply be ignored as you have done to others.
= คุณแค่จะถูกเมินเฉย หรือไม่มีใครมาสนใจคุณเหมือนกับที่คุณทำกับคนอื่นนั่นเลย เป็นไง แสบทรวงดีไหม
สำนวนว่า You will simply be ignored ก็คือ คุณจะโดนก็เพียงถูกละเลย
สำนวนว่า ถูกละเลยนั้นฝรั่งเขาใช้ว่า to be ignored และคำว่า simply นั้นก็มีความหมายเหมือนว่า only นั่นเอง
และสุดท้ายก็คือ as you have done to others ซึ่งหมายถึง เช่นเดียวกับที่คุณทำกับคนอื่นนั่นเลย คำว่า as คือ เหมือนกับ และ others หมายถึง คนอื่นๆ





วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Reserve

I reserve the right to change my mind about anything and everything at any time.


ฉันขอสงวนสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนใจในทุกเรื่องในทุกที่และทุกเวลา




วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Hang in there

 Hang in there.

เขาเอาไว้ใช้เตือนตัวเองหรือบอกคนใกล้ตัวว่า อย่าเพิ่งท้อ สู้ๆ อดทนไว้ อย่าสิ้นหวัง (Don’t lose hope!) แถวๆนี้

ใช้เมื่อไร ก็เมื่อท้อแท้ คำว่า hang มันให้ความรู้สึกว่า โหนไว้ จับไว้ อย่าปล่อยมือนะโว้ยประมาณนั้น ทุกครั้งที่เจออะไรที่มันทรหด ต้องการความอดทน อดกลั้นและอดออม เห็นท่าจะไม่เกี่ยว เอาเป็นว่า อดทน ก็ใช้ได้เลย

Just hang in there! I am sure things will work out in the end.
แค่อดทนไว้ (อย่าไปแปลว่า แค่โหนเอาไว้ ก็แล้วกัน) ทุกอย่างจะเรียบร้อยเอง ในที่สุด

I know things are difficult / hard right now. But just hang in there. Things will get better soon.
= ฉันรู้ว่า สิ่งต่างๆมันยาก มันเหนื่อย มันลำบาก แต่ก็ขอให้อดทนไว้ เดี๋ยวทุกอย่างมันจะดีเอง

Even though the economic situation is bad, just hang in there. It will get better soon.
= แม้สถานการณ์เศรษฐกิจจะแย่ แต่ก็ขอให้อดทนไว้ เดี๋ยวมันจะดีขึ้น

Just hang in there! One day you will succeed.
= สู้ๆ อดทนไว้ วันหนึ่ง ก็จะประสบผลสำเร็จ

Just hang in there! You will be able to speak English like a native. Keep practicing.
= อดทนไว้ แล้วจะสามารถพูดอังกฤษได้เหมือนเจ้าของภาษา ฝึกต่อไป (แบบนี้ต้องหมั่นพูดใส่ตัวเองไว้)