วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เรียนอังกฤษจากข้อสอบ


Jane has received top performance reviews ------- she joined the sales department two years ago.

(A) despite
(B) if
(C) since
(D) during
เจนได้รับคำชมในการทำงานว่าดีที่สุดตั้งแต่หล่อนเข้าทำงานในฝ่ายขายเมื่อสองปีที่แล้ว
ใช้ข้อ c เพราะsince หมายความว่า ตั้งแต่ ดูจาก S + has / have + v3 + SINCE + S + V2 เช่น
I haven’t got a job since I graduated from college. = ฉันยังไม่ได้งานเลยตั้งแต่เรียนจบ
He hasn’t visited England since he came back. = เขายังไม่ได้ไปอังกฤษเลยตั้งแต่กลับมา
คำว่า since หมายความว่า เนื่องจาก หรือเพราะว่าด้วยแต่โครงสร้่างจะเปลี่ยนไป เช่น I came to work late since the traffic was congested. = ฉันมาทำงานสายเพราะรถติด ทีนี้เราจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่า since มันมีความหมายไหน ก็ต้องแปลอย่างเดียว แต่โปรดสังเกตโครงสร้างของการใช้กริยาด้วย
คำว่า despite + กลุ่มคำนาม แปลว่า ทั้งๆที่ แสดงความขัดแย้ง มีความหมายเหมือน in spite of เพราะฉะนั้น เอามันแทนที่แบบนี้ทุกที่ไป
เช่น I went swimming despite the rain. = ฉันไปว่ายน้ำทั้งๆที่ฝนตก
เขียนประโยคของเราเองว่า I went swimming in spite of  the rain.
และฝึกใช้ว่า despite + the fact that + S + V เช่น He went swimming despite of the fact that it rained.
เพราะฉะนั้น in spite of + the fact that + S + V  ก็ย่อมทำได้เพราะเขาเป็นฝาแฝดกันเช่น He went swimming in spite of the fact that it rained.
สรุป
Despite the fact that + S + V = In spite of the fact that + S + v หมายถึง ทั้งๆที่ หรือแม้ว่า ตามด้วย S + V
สิ่งที่เขาจะลวงเราก็คือ in spite , despite of แบบนี้ หรือ despite it rained. แบบนี้ ระวัง เพราะฉะนั้น ฝึกใช้คู่กันไปแบบนี้ อย่าจำ แต่ให้เขียนแทนที่กันทุกครั้ง แล้วจะทำได้เองโดยไม่ต้องจำ
If  = ถ้า ตามด้วย S + V ใช้แสดงเงื่อนไข during = ในช่วง หรือ ระหว่าง ใช้กับกลุ่มคำนาม เช่น during this week = ในช่วงสัปดาห์นี้ during the trip = ระหว่างการเดินทาง
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

เรียนอังกฤษจากข้อสอบ

The manager of the group was a brilliant man-------------------------------- only weakness was that he hated to accept defeat. a. whose b. who c. whom d. who’s
ผู้จัดการกลุ่มเป็นคนฉลาดหลักแหลม ผู้ซึ่งมีจุดอ่อนเพียงอย่างเดียวก็คือเขาไม่ชอบที่จะยอมรับความพ่ายแพ้
ประโยคนี้ใช้คำเชื่อม whose เพราะ แสดงความเป็นเจ้าของ ดูจากคำนามที่ตามหลังมา จำประโยคนี้ไว้ This is the man whose house is big. นี่คือผู้ชายคนที่มีบ้านหลังใหญ่ the man แทนด้วย a brilliant man และ house แทนด้วย only weakness (อาจจะยาวหน่อย แต่ก็อย่าเพิ่งตกใจ) ส่วน is แทนด้วย was ก็จะเห็นรูปร่างที่ชัดเจนของเขา สำนวน to hate + to กริยาไม่ผัน หมายถึง ไม่ชอบทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
I hate to ask/interrupt/disturb. = ฉันไม่อยากจะถาม , ขัดจังหวะ / รบกวน เลยแต่ก็ต้องทำ เช่น I hate to interrupt, but it is very urgent.
= ไม่ชอบขัดจังหวะเลยแต่เรื่องมันเร่งด่วน (มันจำเป็น)
I hate to say it, but .../I hate to tell you this, but ...หมายความว่า ไม่ชอบเลยที่จะพูดแบบนี้แต่ก็..... หรือ ไม่ชอบจริงๆเลยที่จะบอกเธอว่า แต่ก็...คือ ไม่อยากทำแต่ก็ต้องทำ ไม่อยากพูดแต่ก็ต้องพูด เพราะมันเป็นเรื่องที่สร้างความอึดอัด เช่น I hate to tell you this, but I don’t think he will pass the test.
= ไม่อยากจะบอกเลย แต่ฉันว่าเขาสอบตกแน่ (บอกไปแล้วก็จะหายอึดอัด)
I hate to say it, but I am sure that she is a liar. = ฉันก็ไม่อยากจะพูดหรอกนะ แต่ฉันแน่ใจว่าหล่อนโกหกแน่นอน
และ to hate + v. ing ได้ด้วย หมายถึง ไม่ชอบหรือเกลียด การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ได้ เช่น
I hate dogs. = ฉันเกลียดหมา I hate getting up early. = ฉันไม่ชอบหรือเกลียดการตื่นเช้า เป็นต้น
สรุปอีกที to hate + to กริยาไม่ผัน หรือ v ing ก็ได้ ความหมายแตกต่างกันดังนี้
I hate COOKING.= ฉันเกลียดการทำกับข้าว (เป็นนิสัย)
I hate TO COOK. = ฉันไม่อยากทำกับข้าว (ตอนนี้)
สำนวนส่งท้าย เคยได้ยินได้ฟังเพลงที่บอกว่า I hate myself for loving you. ไหมที่เขาบอกว่า เกลียดตัวเองนักที่ไปรักเธอเข้า
เราก็สามารถเอามาปรับใช้ได้อีกเช่น I hate myself for getting up late. = เกลียดตัวเองนักที่ตื่นสาย
และเวลาที่เรามีความรู้สึกว่าเดี๋ยวชอบเดี๋ยวชัง เดี๋ยวรักเดี๋ยวเกลียด  ทำนองนี้ เราก็ใช้สำนวนว่า It’s a love-hate relationship. เช่น I can’t tell for sure if I hate or love her. It’s a love-hate relationship. = ฉันก็บอกไม่ได้ว่า รักหรือเกลียด เป็นความสัมพันธ์แบบเดี๋ยวรักเดี๋ยวชัง
หากต้องการความรู้เรื่องประโยคขยาย สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่คัมภีร์การเขียนพื้นฐาน

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การเปรียบเทียบขั้นสุด

ตอนสุดท้าย
การเปรียบเทียบขั้นสุด

การเปรียบเทียบขั้นสุด เช่น ดีที่สุด ชั่วช้าที่สุด เลวที่สุด งามที่สุด หล่อสุด ๆ จนที่สุด มีโครงสร้างตรงกับภาษาอังกฤษว่า the.................est, the most…………………. เป็นการเปรียบเทียบของมากกว่าสองสิ่งขึ้นไป ในบางกรณีจะมีคำบอกด้วยเช่น ในหมู่ หรือ ในกลุ่ม......นี้ (among……..) หรือ ในประเภทนี้ “In the…..”, ของ..... “of the….” หรือ เท่าที่เคยเห็นมา ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า “ประธาน + กริยา has / have + กริยาช่อง 3” เช่น I’ve ever seen, watches, etc. หรือ He has ever seen / watched. เป็นต้น
ตัวอย่าง:
Somchai is the tallest boy in the classroom.
สมชายเป็นเด็กที่สูงที่สุดในห้อง ใช้สำนวน in the classroom
Bangkok is the most polluted and crowded city in Thailand.
กรุงเทพเป็นเมืองที่มีมลพิษเยอะที่สุดและแออัดที่สุดในประเทศไทย
ใช้สำนวน in + คำนาม ในการเปรียบเทียบที่มากกว่าสอง
The Terminator is the most impressive action film I’ve ever seen.
หนังเรื่อง The Terminator เป็นหนังบู๊ที่น่าประทับใจมากที่สุดเท่าที่เคยดูมา
ใช้ (has / have + V 3)
ข้อสังเกต : ใช้สำนวน “in (the)” กับคำนามเอกพจน์ เช่น
He is the most important person in the world.
เขาเป็นคนที่สำคัญที่สุดในโลก
She is the smartest girl in the classroom.
หล่อนฉลาดที่สุดในห้องเรียน
John is the eldest child in his family.
จอห์นเป็นลูกคนโตในครอบครัว
ส่วนสำนวน “of the” ใช้กับคำนามพหูพจน์เท่านั้น เช่น
Or all the girls, Betty is the prettiest me.
ในจำนวนเด็กผู้หญิงทั้งหมด เบ๊ตตี้น่ารักที่สุด
Of all the football players. Jack is the fastest.
ในบรรดานักเตะทั้งหมด แจ๊คเร็วที่สุด
One of the most efficient ways in learning English is listening to English news.
วิธีการเรียนภาษาอังกฤษที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดวิธีหนึ่งก็คือ การฟังข่าวภาษาอังกฤษ (แสดงว่า ยังมีอีกหลายวิธี ดังนั้น จึงใช้สำนวนว่า one of the…..)

แบบฝึกหัด ขีดเส้นใต้โครงสร้างขั้นสุดในข้อความต่อไปนี้และแปลเป็นภาษาไทย
1. It is best film (that) I have ever seen.
2. He is the nicest person (that) I have ever met.
3. It is the most difficult test (that) I have ever done.
4. It is the most beautiful picture (that) I have ever seen.
5. It is the cheapest T-shirt (that) I have ever bought.
6. He is the most intelligent person (that) I have ever talked to.
7. It is the funniest story (that) I have ever heard.
8. It is the sweetest drink (that) I have ever tasted.
9. It is the most enjoyable party (that) I have ever been to.
10. It is the most interesting book (that) I have ever read.
11. It is the biggest house (that) I have ever seen.
12. It is the most comfortable bed (that) I have ever slept in.
13. It is the most accurate watch (that) I have ever had.
14. He is the happiest person (that) I have ever met.
15. Thailand is the most amazing country (that) I have ever seen.
16. Thai people are the friendliest people (that) I have ever seen.
17. It is the most beautiful resort (that) I have ever stayed in.
18. English is the easiest subject (that) I have ever learned.
19. He is the most stupid person (that) I have ever talked to.
20. It is the most expensive thing (that) I have ever bought.
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
เฉลย
1. It is the best film (that) I have ever seen.
มันเป็นหนังที่ดีที่สุดเท่าที่เคยดูมา
2. He is the nicest person (that) I have ever met.
เขาเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีที่สุดเท่าที่เคยได้พบมา
3. It is the most difficult test (that) I have ever done.
มันเป็นข้อสอบที่ยากที่สุดเท่าที่เคยทำมา
4. It is the most beautiful picture (that) I have ever seen.
มันเป็นภาพที่สวยที่สุดเท่าที่เคยได้เห็นมา
5. It is the cheapest T-shirt (that) I have ever bought.
มันเป็นเสื้อยืดที่ถูกที่สุดเท่าที่เคยซื้อมา
6. He is the most intelligent person (that) I have ever talked to.
เขาเป็นคนที่ฉลาดที่สุดเท่าที่เคยพูดคุยมา
7. It is the funniest story (that) I have ever heard.
มันเป็นเรื่องที่ตลกที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา
8. It is the sweetest drink (that) I have ever tasted.
มันเป็นเครื่องดื่มที่หวานที่สุดเท่าที่เคยได้ชิมมา
9. It is the most enjoyable party (that) I have ever been to.
มันเป็นงานเลี้ยงที่สนุกที่สุดเท่าที่เคยไปมา
10. It is the most interesting book (that) I have ever read.
มันเป็นหนังสือที่น่าสนใจที่สุดเท่าที่เคยได้อ่านมา
11. It is the biggest house (that) I have ever seen.
มันเป็นบ้านหลังที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยได้เห็นมา
12. It is the most comfortable bed (that) I have ever slept in.
มันเป็นเตียงที่สบายที่สุดเท่าที่เคยได้เห็นมา
13. It is the most accurate watch (that) I have ever had.
มันเป็นนาฬิกาที่เที่ยงตรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา
14. He is the happiest person (that) I have ever met.
เขาเป็นคนที่มีความสุขที่สุดเท่าที่เคยพบมา
15. Thailand is the most amazing country (that) I have ever seen.
ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าทึ่งที่สุดเท่าที่เคยได้เห็นมา
16. Thai people are the friendliest people (that) I have ever seen.
คนไทยเป็นคนที่เป็นมิตรที่สุดเท่าที่เคยได้เห็นมา
17. It is the most beautiful resort (that) I have ever stayed in.
มันเป็นที่พักที่สวยที่สุดเท่าที่เคยได้พักมา
18. English is the easiest subject (that) I have ever learned.
ภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่ง่ายที่สุดเท่าที่เรียนมา
19. He is the most stupid person (that) I have ever talked to.
เขาเป็นคนโง่ที่สุดเท่าที่เคยได้พูดคุยด้วย
20. It is the most expensive thing (that) I have ever bought.
มันเป็นของที่แพงที่สุดเท่าที่เคยซื้อมา


วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แก่ตาย


การบรรยายว่า ใครแก่ตาย หรือตายตามธรรมชาตินั้น ภาษาอังกฤษใช้ว่า
He died a natural death.
คำนี้อ่านออกเสียงว่า (แนช) เฉอะเริ่ล หรือ He died of old age.
ส่วนใหญ่เขาก็จะระบุไปว่า ตายตอนอายุเท่าไรมากกว่า เช่น My aunt died at the age of 70. = My aunt dies when she was 70.
หากต้องการจะบรรยายว่า ตายเพราะความเจ็บป่วยนั้นให้ใช้ว่า
To die of an illness หากจะระบุลงไปว่า ตายเพราะอะไรก็ให้ ใส่ชื่อโรคนั้นๆ ลงไปเช่น He died of lung cancer. (เขาตายเพราะเป็นมะเร็งปอด) หรือ She died of Aids. (หล่อนตายเพราะโรคเอดส์) เป็นต้น
หากถูกแทงตายหรือถูกยิงตายให้ใช้ว่า
He was shot dead. = เขาถูกยิงตาย
He was stabbed to death. = เขาถูกแทงตาย
ส่วนที่เราชอบพูดกันว่า คนๆนี้ตายตั้งแต่ยังอายุน้อย เขาใช้ว่า to die young เช่น He died young.
และหากเราต้องการจะบรรยายว่า เขาตายแบบวีรบุรุษก็ใช้ว่า My dad died a hero.
และคำไพเราะรื่นหูที่ใช้เลี่ยงการตายก็คือ เสียชีวิต แบบนี้ เขาใช้ว่า to pass away เช่น
His aunt passed away last night. = ป้าเขาเสียชีวิตเมื่อคืนนี้
ใครตายหรือเสียชีวิต ฝรั่งเขาก็จะพูดว่า R.I.P หรือ (May your soul rest in peace.) ขอให้วิญญาณของท่านไปสู่สุขคติเถิด เราสามารถใช้ว่า May his/ her soul rest in peace. ) ได้ตามแต่สถานการณ์

ส่วนคนเป็นๆเช่นเรา ทำไง ก็ต้องสู้ต่อไป โดยใช้สำนวนว่า Never say die. อย่าพูดว่าตาย หรืออย่าบอกว่ายอมแพ้นะเฟ๊ย
ขอแถมด้วยสุภาษิตบทนี้ เอาไว้เตือนใจเราหรือใครๆก็ตามที่มีลักษณะทำนองนี้ นิสัยหรืออะไรก็ตามที่มันเปลี่ยนยาก ใช้ได้หมด โดยเฉพาะนิสัย
Old habits die hard. = นิสัยเดิมๆมันแก้ไม่หาย เปลี่ยนยากมาก ส่วนไปเจออะไรเช่น ขนบธรรมเนียม หรือประเพณีที่มันเปลี่ยนไม่ได้ ก็ใช้ได้ว่า Traditions die hard.
หรือ Customs die hard.
เดี๋ยวนี้ โลกเรามันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แต่ก็มีบางอย่างที่เปลี่ยนยาก ก็ใช้สำนวนที่ว่านั่นแหละ

ก็แค่อยากรู้

A: ถามทำไม
B : ก็ไม่มีอะไร แค่อยากรู้เท่านั้น
คำตอบที่ว่า ก็ไม่มีอะไร แค่อยากรู้เท่านั้น เป็นคำตอบที่จะว่ากวนโอ๊ย ก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่เชิง มันเป็นธรรมดาของมวลมนุษยชาติที่ถูกฝึกมาให้ถามและเป็นไปตามสัญชาติญาณ แต่เอาเถอะ เมื่อมี เราก็ใช้มันไป เวลาที่เราต้องการจะพูดเป็นภาษาอังกฤษ เราจะใช้สำนวนอะไรต่างหากที่น่าใส่ใจ ก็นี่เลย
Oh! No reason. I’m just curious.
แค่นี้แหละจบเลย
คำว่า curious อ่านว่า (คิว) เรียส
คำนี้เองที่เราสามารถนำมาใช้บรรยายอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ได้ เช่น
He is very curious. = เขาอยากรู้อยากเห็นมาก
Children are naturally curious about everything.
= เด็กๆอยากรู้อยากเห็นไปทุกเรื่อง ซึ่งเป็นธรรมชาติของเขา คำว่า naturally อ่านว่า (แน๊ช) เชิล ลี่
โครงสร้างที่เราสามารถเอาไปประยุกต์ใช้ได้ก็คือ to be curious about + สิ่งที่อยากรู้ เช่น
The boss is curious about my project.
= หัวหน้าอยากรู้เกี่ยวกับโครงการของฉัน
I am very curious about her secret.
= ฉันอยากรู้ความลับของหล่อนจังเลย

และไอ้ความอยากรู้นี้เองที่มันนำพาเราไปสู่คำพูดคมๆที่ว่า Curiosity killed the cat. เอาไว้เตือนพวกที่อยากรู้อะไรมากๆ เหมือนจะบอกว่า อย่าถามอะไรมาก เดี๋ยวจะเดือดร้อน อารมณ์นั้น
ที่มาของมันก็คือ แมว แมวเป็นสัตว์ที่อยากรู้อยากเห็นมาก หากบ้านใครมีแมวก็สังเกตดู แต่ถ้าไม่มีก็ไปตามท้องถนน ไปนั่งดูแมว อาจจะเข้าใจสำนวนนี้ได้เป็นอย่างดี
คำนามคือ curiosity อ่านว่า เคียว ริ (อา) เสอะ ที่ หมายถึง ความอยากรู้อยากเห็นนั่นเอง
ที่เอามาให้ดูก็อยากให้เอาสำนวนเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้เพื่อทำให้ภาษาคุณดีขึ้น
To satisfy one’s curiosity หมายถึง ก็แค่อยากรู้ ทำให้ความอยากรู้มันได้รับการตอบสนอง ทำนองนั้น
I followed my girlfriend just to satisfy my curiosity.
= ฉันตามแฟนไปก็แค่อยากรู้
Don’t’ blame the kid for opening that mail. He just wanted to satisfy his curiosity.
= อย่าไปว่าเด็กมันเลยที่ไปเปิดพัสดุ เขาก็แค่อยากรู้ว่ามันเป็นอะไรก็แค่นั้น
I called him last night just to satisfy my curiosity. I didn’t mean (intend) to find fault with him.
= ฉันโทรไปหาเขาเมื่อคืนนี้ ก็แค่อยากรู้ (ไม่ได้จับผิดอะไร) สำนวน to mean / to intend to + กริยา หมายถึง ไม่ได้เจตนา หรือไม่ได้ตั้งใจ อะไรเทือกนั้น เช่น I don’t mean to hurt you. = ก็ไม่ตั้งใจจะทำให้ใครเจ็บ
Sorry! I didn’t check up on you. I called just to satisfy my curiosity.
= ขอโทษที ไม่ได้จับผิดอะไร (สำนวน to check up on + คน หมายถึง เช็คดูซิว่าทำตามสิ่งที่ควรจะทำหรือเปล่า หรือเช๊คดูความถูกต้องหรือเปล่า)
Don’t’ worry! No one is going to check up on you.
= ไม่ต้องกังวลไป ไม่มีใครเขามายุ่มย่ามอะไรหรอก
I called you to check up on some facts.
= ฉันโทรไปหาเพื่อเช็คดูข้อมูลบางอย่าง
คนฉลาดมักจะมีต่อมอยากรู้มากกว่าคนอื่นเพราะฉะนั้น เห็นใครเขาอยากรู้ เราก็บอกได้ว่า Smart people often have a lot of curiosity.
เพราะฉะนั้น เวลาใครขาอยากรู้อะไรมากๆ แล้วเราก็ต้องหมั่นฝึกคิดในแง่ดีไว้ ก็จำประโยคนี้ไว้ก็ได้
S + just want (s) (es)(ed) to satisfy one’s curiosity
เช่น Don’t blame him He just wanted to satisfy his curiosity.
It’s okay. They just wanted to satisfy their curiosity.
หรือแม้กระทั่งตัวเอง เวลาอยากรู้อยากเห็นอะไรที่มันไม่จำเป็นก็ใช้ว่า I just wanted to satisfy my curiosity. เรื่องก็น่าจะจบได้เพราะมันเป็นเรื่องของสัญชาติญาณ
ส่วนใครที่ไม่ต้องการอะไรที่หรูหรา ก็ใช้แค่ I’m just curious. ฉันก็แค่อยากรู้แค่นั้น หรือ Kids are just curious. = เด็กเขาแค่อยากรู้ ก็ไม่มีใครว่า ก็ไม่มีใครว่าเหมือนกัน

สิ่งที่สำคัญของความสัมพันธ์

Relationship is not about age or distance.

What’s more important is having trust and loyalty.

ความสัมพันธ์ไม่เกี่ยวกับอายุหรือระยะทาง

สิ่งที่สำคัญมากกว่าก็คือ

ความไว้ใจและความซื่อสัตย์

เรียนอังกฤษผ่านข้อสอบ

To stay with local people and gain practical experience, volunteer helpers work an average of 4 hours per day _______ food and accommodation.
a. in exchange for b. exchanging of c. exchange with d. exchanges
ข้อความนี้คือ เพื่อที่จะพักอยู่กับคนในพื้นที่และได้ประสบการณ์ที่เอาไปใช้จริงได้ ผู้ช่วยอาสาสมัครทำงานโดยเฉลี่ยวันละ 4 ชั่วโมงเพื่อแลกกับอาหารและที่พัก
สำนวนว่า เพื่อแลกกับ ให้จำไปเลยว่า in exchange for เช่น I work in exchange for food. = ฉันทำงานแลกอาหาร
I will help you move into an apartment in exchange of a fancy meal.
= ฉันจะช่วยเธอย้ายเข้าที่อยู่ใหม่เพื่อแลกกับอาหารหรูๆสักมื้อ
อย่าเพิ่งงงนะ จับความหมายให้ดี นี่คือการแลกเปลี่ยนโดยเอาสิ่งหนึ่งมาแลกกับสิ่งหนึ่ง
คำว่า exchange มีที่ใช้มากมาย ตัวมันเองหมายถึง การแลกเปลี่ยน เมื่อเป็นคำนาม และหากเล่นบทบาทเป็นคำกริยาก็จะหมายถึง แลกเปลี่ยน เรามาดูบทบาทของคำนามก่อน
เราเจอเขาที่ไหน ก็จะมีความหมายอย่างที่บอกนั่นเลย เป็นการแลกเปลี่ยนสิ่งเดียวกัน ให้ใช้ “of” เช่น
An exchange of information = การแลกเปลี่ยนข้อมูล
An exchange of ideas. = การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
An exchange of goods = การแลกเปลี่ยนสินค้า
A foreign currency exchange = การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
These two institutions have an academic exchange.
= สองสถาบันนี้มีการแลกเปลี่ยนทางวิชาการกัน
We encourage cultural exchanges among Asian countries.
= เราส่งเสริมให้มรการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในกลุ่มประเทศอาเชี่ยน
ทีนี้พอเราเอาเขามาใช้ขยายคำนาม มันก็จะหมายถึง ที่แลกเปลี่ยน เช่น
I am an exchange student.
= นักเรียนแลกเปลี่ยน
I want to know today’s exchange rate.
=อยากทราบว่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินวันนี้
เอาล่ะ ก็มาถึงการใช้เขาเป็นกริยา ให้จำข้อความพวกนี้ไว้
แลกเปลี่ยนของขวัญto exchange presents ( to exchange gifts ) ให้นึกถึงวันปีใหม่ไว้
คนเราเวลาเจอกัน ถูกใจกัน ก็อยากแลกเบอร์ ที่อยู่ line อะไรก็ใช้ว่า Let’s exchange phone numbers/ addresses/ lines / photos รูปภาพ
I would like to exchange 1000 bath for dollars.
= อยากจะแลกเงินบาทเป็นเงินดอลล่าร์
You can exchange coupons for food.
= เราสามารถเอาคูปองไปแลกอาหารได้ เป็นต้น
สรุปอีกที หากต้องการจะพูดว่า แลกเปลี่ยนอะไรเพื่อเอาอีกสิ่งหนึ่งมาให้ใช้ for แล้วกัน
บางคนอาจสงสัยว่า แล้ว “with” ใช้ยังไง คำนี้ใช้ตรงตัวเลยคือ แลกเปลี่ยนกับใคร เช่น I want to exchange my phone number with you. = อยากแลกเบอร์กับคุณ
เพลงขอใจแลกเบอร์โทร ก็ใช้คำนี้แหละ I am dying to exchange my heart for your phone number. สำนวน to be dying to do หรือ to be dying for + สิ่งใดก็ตาม หมายถึง อยากได้มาก (แบบว่าจะตายให้ได้ ประมาณนั้น เช่น
• I'm dying for a cold drink.
• = อยากได้เครื่องดื่มเย็นๆสักแก้ว
• He is dying to see her.
• = เขาอยากเจอเธอจังเลย
• We are dying to see that movie.
• = พวกเราอยากดูหนังเรื่องนั้นจังเลย

สำนวน to gain practical experience = ได้ประสบการณ์ที่นำมาปฏิบัติหรือใช้จริงได้
An average of + จำนวน หมายถึง โดยเฉลี่ยแล้ว These cars are sold at an average of 200,000 million baht. = รถพวกนี้ขายที่ราคาเฉลี่ยะ 2 ล้านบาท

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เป็นเพียงเพราะตัวตน



Any relationship is possible only

when two egos are dropped.

Otherwise four persons are involved—

Two real and two imaginary.

ความสัมพันธ์เกิดขึ้นได้เพียงแค่คนสองคนวางตัวตนลง

ความสัมพันธ์มีปัญหาเพราะคนสี่คน

สองคนคือตัวเขาและอีกสองคนคือตัวตนของทั้งสองคน

เรียนอังกฤษจากข้อผิดพลาด

เรียนอังกฤษจากข้อสอบแนวจับผิด ข้อไหนผิด

I would be happy ( a. to act in the role of consultant ) ( b.to recommend you ) on how best to design your products. My fee is $500 per day. I'm afraid the dates ( c.you suggest ) are not possible as I am away at a conference, but any time the following week would ( d. suit me well.)

ฉันจะมีความสุขที่จะทำหน้าที่ผู้ให้คำปรึกษาที่จะให้คำแนะนำคุณในการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ดีที่สุด ค่าจ้างตก 500 เหรียญต่อวัน ฉันเกรงว่า วันที่ที่คุณเสนอมานั้นไม่สามารถทำได้ เนื่องจากฉันจะไม่อยู่เนื่องจากติดประชุม แต่สัปดาห์ต่อไปนั้น ช่วงไหนก็ได้สะดวก
ข้อที่ผิดคือ b. การใช้ to recommend หมายถึง แนะนำ ไม่สามารถตามด้วย กรรมทันที เช่น I would like to recommend you แบบนี้ไม่ได้ โครงสร้างที่ถูกคือ to recommend + สิ่งใดสิ่งหนึ่ง + to + คนใดคนหนึ่ง เช่น I would like to recommend this restaurant to you. = อยากจะแนะนำร้านอาหารนี้ให้ ต้องใช้คำว่า advise เพราะตามด้วยกรรมได้เลย I can advise you about that case. = ฉันสามารถแนะนำให้คุณเกี่ยวกับกรณีนั้น ข้อ a ใช้ to act ถูกต้องแล้วเพราะตามหลังคำคุณศัพท์ ใช้ “to” เช่น It is difficult to do it. = ยากที่จะทำ ข้อ c. ถูกต้องเพราะ you + suggest + กรรม ซึ่งคือ dates ( I’m afraid the dates (that) you suggest (ละ “that” ไว้) กริยา suit ถูกต้องเพราะหมายถึงเหมาะ เช่น That dress doesn’t suit her. = ชุดนั้นไม่เหมาะกับหล่อน (ระวังอย่าไปใช้ with เพราะจะตรงกับภาษาไทยเกินไป)
สำนวน to be at a conference = ที่ประขุม at the meeting = ที่ประชุม
You suggest / recommend + อะไร + to + ให้กับใคร เช่น
ถูก I suggest + this book + to you.
I recommend this book to you.
จำไว้เลยว่า สองคำนี้เขาเป็นเพื่อนซี๊กัน ใช้แทนกันได้
ห้ามใช้ I suggest / recommend you this book.
โครงสร้างที่สอง S + suggest / recommend + v ing
I suggest / recommend + going to the movies.
= ฉันแนะนำให้ไปดูหนัง
และโครงสร้าง 3 คือ S + suggest / recommend that + S (should) + v ไม่ผัน
I suggest / recommend that you (should) go to see a doctor.
= ฉันเสนอแนะว่าให้คุณไปหาหมอ
อย่าเผลอไปใช้ว่า I suggest / recommend + you to see a doctor.
จำไว้เลยว่า เมื่อใดต้องการจะแนะนำใคร ให้ใช้ to + คนที่แนะนำ เช่น I would like to suggest / recommend this restaurant to you.
= ฉันอยากจะเสนอร้านอาหารนี้ให้คุณ แต่ถ้าต้องการจะบอกว่า อยากจะเสนอให้คุณให้ผ่อนคลาย เราก็ใช้ว่า I want to suggest / recommend that you (should) relax.
จำไว้ว่า ที่ไหนมี recommend เพื่อนของเขาคือ suggest
มาดู advise
ต้องการจะบอกว่าแนะนำให้ใครทำอะไร ให้ใช้ตรงตัวไปเลย โครงสร้างนี้แหละที่ตรงกับภาษาไทยของเรา เพราะฉะนั้น เวลาต้องการใช้คำที่มีความหมายว่า แนะนำ ให้นึกถึง advise หากต้องการใช้แบบภาษาไทย (จะได้ไม่ปวดหัวและปวดใจทีหลัง)
เช่น I would like to advise you to read this book.
= ฉันอยากจะแนะนำให้เธอซื้อหนังสือเล่มนี้
To advise + คน + to do ให้ทำอะไร
I advise you to go to study hard. = ฉันขอแนะนำให้เธอขยัน
สรุปอีกที
suggest / recommend และ advise มีโครงสร้างที่ร่วมกันได้แค่โครงสร้างเดียวคือ
S + suggest / recommend that + S + (should ) กริยาไม่ผัน
S + advise + กรรม + that + S + (should ) กริยาไม่ผัน
แต่ถ้าเป็น advise ต้องหากรรมมาให้ก่อนและก็จะเป็นตัวเดียวกันด้วย ดูประโยคต่อไปนี้
I recommend that he (should) see a doctor.
I suggest that he (should) see a doctor.
I advise + him + that he (should) see a doctor.
ส่วนนี้ขอบอกว่า ตอนพูด พูดไปแบบนี้ แต่ตอนเขียน บางที เขาจะละ “should” ออก แล้วมันจะดูแปลกๆ พอเอา “should” ออกแล้ว มันจะเป็น he see เราก็จะคิดว่า มันผิดอีก แต่เรานั่นแหละผิดเพราะมันคือข้อยกเว้น
จำไว้ว่า กริยา advise ต้องมีกรรมมารับเสมอ เช่น
I advise you to see a doctor.
ข้อผิดพลาดที่เขามักจะนำมาทดสอบเราคือ
I recommend you to see a doctor.
I suggest you to see a doctor.
ดูเหมือนได้แต่ไม่ได้เพราะมันตรงกับโครงสร้างภาษาไทยของเราเกินไป แต่ให้จำไว้ว่า recommend กับ suggest เป็นเพื่อนสนิทกัน ใช้แทนกันได้เลย หากจะเปลี่ยนประโยคที่ให้มา ก็สามารถทำได้โดย
I recommend / suggest that you (should) see a doctor.
I recommend / suggest + seeing a doctor. = แนะนำให้ไปหาหมอ ลองดูนะว่ามันจะใช้ได้ไหม ( Will it work for you? ) แต่ที่รู้ก็คือ It always works for me. แต่สำหรับฉันแล้ว มันใช้ได้ดีมาตลอด และ
I hope that it will work for others. = ก็หวังว่าคนอื่นจะเอาไปใช้ได้ด้วย สาธุ
แต่ถ้ามาได้ผล If it doesn’t work for you, work it out for yourself. ก็หาทางกันเอาเองเนอะ

วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ใครสักคน

Sometimes we need someone to simply be there,

not to fix anything,

or to do anything in particular,

but just to let us feel that

we are cared for and supported.

บางครั้ง....

เราต้องการใครสักคนมาอยู่กับเรา

ไม่ต้องมาช่วยแก้ไขหรือทำอะไรพิเศษ

แค่ทำให้เรารู้สึกว่า

ยังมีคนใส่ใจและให้กำลังใจก็พอแล้ว

เรียนอังกฤษจากข้อสอบ Toeic



The discounted _______ for the Auto Show are valid for admission on weekdays from February 2 to 10.
(A) tickets (B) ticketing (C) ticketed (D) ticket
ตั๋วลดราคาสำหรับงานแสดงรถใช้เข้าได้วันธรรมดาตั้งแต่วันที่ 2 ถึงวันที่ 10เดือนกุมภาพันธ์
คำว่า ticket นี้ สามารถใช้ได้คำนาม กริยา และพลิกแพลงได้พอสมควร ความหมายที่เราคุ้นเคยก็คือ ตั๋ว เช่น ตั๋วเครื่องบิน รถไฟ ตั๋วหนัง ตั๋วทุกอย่างให้ใช้คำนี้ แต่หากไปเจอในความหมายอื่นอาจงงได้ ให้เราจะสำนวนเหล่านี้ไปแล้วเวลาไปเจอข้อสอบในลักษณะนี้ ให้เอาโครงสร้างเหล่านี้ไปปรับใช้ เช่น
I got a speeding ticket. = ฉันโดนใบสั่งที่ขับรถเร็ว
I got a parking ticket. = ฉันถูกใบสั่งจอดรถ ผิดที่หรือจอดรถนาน
I was ticketed for speeding. = ฉันถูกเขียนใบสั่งที่ขับรถเร็ว
และ Most airlines are using electronic ticketing now.= สายการบินส่วนใหญ่ใช้การออกตั๋วทางอิเลคทรอนิค

เอาแค่นี้ก่อนเพราะส่วนนี้น่ารู้มากเนื่องจากมันเกี่ยวข้องกับชีวิตเรามากที่สุด ส่วนการใช้ในรูปแบบอื่น เอาไว้ที่หลัง
คำว่า valid อ่านว่า (แว) หลิด เอาไปใช้ที่หนก็ได้หมายถึง ยังใช้ได้อยู่ และหากเอาin ไปใส่ ก็หมายถึง ใช้ไม่ได้หรือเป็นโมฆะ
The ticket concert is still valid. = ตั๋วดูคอนเสิร์ตยังใช้ได้อยู่ (ไม่หมดอายุหรือยังเป็นไปตามเงื่อนไขอยู่)
discount = การลดราคา เราจะเห็นในรูปคำนามซะส่วนใหญ่ แต่ถ้านำมาเป็นกริยาก็จะหมายถึง ลดราคา เช่นกัน แต่หน้าที่แตกต่างกัน เช่น
a discounted price/rate = ราคาหรืออัตราที่นำมาลดราคา
เวลาเจอคำนี้ก็ให้มีความคิดว่า ที่ลดราคา ส่วนเขาจะเอามันไปใช้ในรูปแบบใด ให้สังเกตตำหนแงของมัน เช่น a discount price = ราคาที่ลดแล้ว a discount airline ticket = ตั๋วเครื่องบินลดราคา a discount store = ร้านขายของลดราคา
A discounted ticket = ตั๋วที่นำมาลดราคา (เอามาทำให้ราคาต่ำกว่าปกติ) ก็ให้หมั่นสังเกตไปแล้วจะรู้ว่า มันต่างกันอย่างไร ส่วนนี้ก็เป็นการนำมาลดราคา (เห็นภาพของการถูกนำมาทำแบบนั้น) แต่ความหมายก็ไม่ได้แตกต่างกันเพราะที่สุดแล้วคือ ราคาที่ถูกกว่ากว่าปกตินั่นเอง