วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ยิ้มเปลี่ยนโลก

et your smile change the world
but don’t let the world change your smile.

ให้รอยยิ้มของเราเปลี่ยนคนอื่น
แต่อย่ายอมให้คนอื่นมาทำให้รอยยิ้มเราเปลี่ยนไป

สำนวน

คำว่า smile หมายถึง ยิ้มหรือรอยยิ้ม เช่น
He smiles at me. = เขายิ้มให้ฉัน
We smile. = เรายิ้ม
We smile at him. = พวกเรายิ้มให้เขา
We smiled at each other. = เรายิ้มให้กัน
Mom rarely smiles because she is worried about her health.
= แม่ไม่ค่อยยิ้มเพราะกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ

แต่ถ้าต้องการจะบอกว่า ยิ้มให้ตัวเอง ให้ใช้ to smile to + oneself เช่น
He always smiles to himself when he thinks about his success.
= เขามักจะยิ้มให้กับตัวเองเมื่อคิดถึงความสำเร็จ
She often smiles to herself when she reads the messages.
= หล่อนมักจะยิ้มกับตัวเองเมื่ออ่านข้อความเหล่านี้
We smile to ourselves when we look at the photo.
= พวกเรายิ้มให้กับตัวเองเมื่อดูรูป
แต่หากต้องการจะบอกว่า ยิ้มเกี่ยวกับอะไรหรือเรื่องใด ก็ใช้ about เช่น
Dad smiles about his job. = พ่อยิ้มเกี่ยวกับงาน
และถ้าใช้เป็นคำนามก็หมายถึง รอยยิ้ม เช่น
She gave me a friendly smile.
= หล่อนยิ้มอย่างเป็นกันเองให้ฉัน
สำนวน to give + ใครคนใดคนหนึ่ง + a smile = ส่งยิ้มให้
She always gives me a warm smile.
=หล่อนมักจะส่งยิ้มที่อบอุ่นให้ฉัน
Local people welcome tourists with a friendly smile.
= คนที่ในพื้นที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยรอยยิ้มกันเอง
She always has a big smile on her face.
= หล่อนมักยิ้มอย่างมีความสุข
What a lovely smile!
= ช่างเป็นรอยยิ้มที่น่ารักอะไรอย่างนี้
What a warm smile!
= ช่างเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นอะไรอย่างนี้
What a wicked smile!
= ช่างเป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายอะไรอย่างนี้

วันพุธที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

สู้

Accept your past without regrets,
handle your present with confidence
and face your future without fear.

ยอมรับอดีตโดยไม่เสียใจ
จัดการกับปัจจุบันด้วยความมั่นใจ
และเผชิญอนาคตด้วยความไม่กลัว

สำนวน
To regret หมายถึง เสียใจ ในทางไวยากรณ์ สามารถตามด้วย to + infinitive หรือ –ing ก็ได้ ความแตกต่างคือ to หมายถึง เสียใจที่จะ เช่น
I regret to tell you that you have failed the test.
= ผมเสียใจที่จะบอกคุณว่า คุณสอบตก
(I am sorry to tell you that…)
• We regret to inform you that we have laid you off.
= เราเสียใจที่จะแจ้งให้คุณทราบว่า เราปลดคุณออกจากงาน
( We are sorry to inform you that we have laid you off.)
เพื่อให้ง่าย เราสามารถใช้ว่า to regret to do = to be sorry to do
ส่วน ing หมายถึง เสียใจกับการที่ทำสิงนั้น
I regret telling lies. = ฉันเสียใจกับการพูดโกหก
สำนวนที่ใช้เป็นทางการ เช่น
We regret any convenience caused to our customers.
= เราเสียใจกับความไม่สะดวกที่เกิดกับลูกค้า
We regret any convenience these delays may cause.
= เราเสียใจสำหรับความไม่สะดวกที่การล่าช้า
และสำนวน to live to regret it หมายถึง จะต้องเสียใจหรือผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นหากทำสิ่งนั้น เช่น
If you don’t travel now, you might live to regret it.
= ถ้าไม่เที่ยวซะตอนนี้ คุณอาจต้องเสียใจ (ผิดหวัง)
If you marry him, you might live to regret it.
= ถ้าคุณแต่งงานกับเขา คุณอาจต้องเสียใจแน่ (ผิดหวัง)

วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

สิ่งที่ทำกับตัวเองได้

You can’t make people like, love, understand, accept or be nice to you, but you can do it to yourself.

เราไม่สามารถทำให้ใครชอบ รัก เข้าใจ ยอมรับหรือดีต่อเราได้
แต่เราสามารถทำกับตัวเราเองได้

สำนวน
Nice หมายถึง ที่ดี ที่สวยงาม ที่น่าพอใจ มีความหมายหลากหลาย ใช้ได้เยอะแยะ เช่น
This house is nice. = บ้านหลังนี้สวย
Today is a very nice day. = วันนี้ อากาศดีจัง
The cake smells nice. = เค๊กหอมจัง
The food tastes nice. = อาหารรสชาติดี
You look nice in that suit. = คุณใส่ชุดนั้นแล้วดูดี
He is nice to me. = เขาดีกับฉัน
One of the nice things about New Year’s Day is having all the family together.
= สิ่งที่ดีอย่างหนึ่งของวันปีใหม่คือการที่ทุกคนได้มาเจอกัน
หรือจะเห็นในสำนวน

It’s nice to know that you like the flower.
= ดีจังที่รู้ว่าคุณชอบดอกไม้เหล่านั้น
It’s very nice of you to help her.
= คุณช่างดีจังเลยที่ช่วยเหลือหล่อน
คำนี้เมื่อนำมาใช้กับคน จะหมายถึง เป็นคนดี อัธยาศัยดี จิตใจงดงาม เช่น
He is a really nice guy. = เขาเป็นคนดีจริงๆ
She is very nice. = หล่อนอัธยาศัยดีมาก
และสำนวนที่นิยมใช้กันก็คือ Mr. Nice Guy = คนดี คนน่ารัก เช่น He is Mr. Nice Guy. = เขาเป็นคนดี คนน่ารัก และมักจะถูกนำไปใช้ในรูปของปฏิเสธว่า No more Mr. Nice Guy. ไม่เป็นมันแล้วคนดี (เมื่อต้องการจะบอกว่า ที่ผ่านมา ก็ดีมาเอยะ แต่ไม่เห็นรู้สึกดี ก็เลยอยากจะบอกว่า ไม่เอาแล้วคนดี ไม่เป็นแล้ว แบบนั้น สามารถเอาไปใช้ได้)
และสำนวน that’d be niceหมายถึง ก็เป็นการดีมากเลย เช่น “ A: Would you like something to drink? = อยากจะรับเครื่องดื่มไหม
B: That’d be nice. = เป็นการดีมากเลย
It would be nice if + S + V = จะเป็นการดีถ้า.... เช่น
It would be nice if you inform me in advance.
= จะเป็นการดีมากเลยถ้าคุณจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
It would be nice if he comes early.
= จะเป็นการดีมากถ้าเขามาเร็ว
และสำนวน Nice try! เอาไว้ใช้บอกว่า คนๆนั้นได้พยายามดีแล้ว (แต่ผลที่ได้ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ แต่ก็ดีที่พยายาม ประมาณนั้น)
It was a nice try, but he failed.
= ก็พยายามดีแล้วแต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ

วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

คนฉลาด

A wise person knows that there is something to be learned from everyone.

คนฉลาดรู้ว่าสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้จากทุกๆคน

สำนวน
คำว่า wise หมายถึง ที่ชาญฉลาด ฉลาดแบบมีไหวพริบโดยธรรมชาติ ไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้จากหนังสือตำรา คำนามคือ wisdom
เช่น a wise person = คนชาญฉลาด(มีไหวพริบ)
An intelligent person = คนฉลาด (รู้อะไรเยอะ)
I think that is a wise decision.
= ฉันคิดว่านั่นคือการตัดสินใจที่ฉลาด
It is wise to keep thoughts to yourself.
= เป็นการฉลาดที่จะเก็บความคิดไว้ (ไม่บอกใคร)
To be wise to do สิ่งใดสิ่งหนึ่ง หมายถึง ฉลาดที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เช่น It is wise to save money for the future.
= เป็นการฉลาดที่จะเก็บเงินไว้ใช้ในอนาคต
It is wise to let go of the pains and the past.
= เป็นการฉลาดที่จะปล่อยวางความเจ็บปวดและอดีต
สำนวน to be older and wiser = แก่ตัวขึ้นและมีปัญญามากขึ้น เช่น
I am now older and wiser, so I can handle that challenge easily.
= ตอนนี้ฉันอายุมากขึ้นและฉลาดขึ้นแล้ว จัดการกับปัญหานั้นได้อย่างสบายๆ
คำว่า worldly-wise หมายถึง ที่มีประสบการณ์ทางโลก ในชีวิตมาก ไม่ตกใจง่ายหรือหลอกง่าย เป็นพวกที่ผ่านโลกเยอะและรู้มาก เช่น
Dad is worldly-wise so he can be a great leader of the community.
= พ่อเป็นคนเจนโลก ก็สามารถเป็นผู้นำชุมชนได้ที่ยอดเยี่ยมได้

วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

คนใหม่

I refuse to go back to the old me.
I am becoming a better person using my past experiences as lessons.

ฉันไม่ยอมกลับไปเป็นคนเดิมอีกแล้ว เพราะได้ใช้ประสบการณ์
ที่ผ่านมาเป็นบทเรียนเพื่อที่จะเป็นคนใหม่

สำนวน
คำว่า refuse อ่านว่า รี (ฟู๊ส) หรือ ฟิ๊วส์ ก็ได้ ไม่ว่ากัน หมายถึง ปฏิเสธ ไม่ยอม ตามด้วยกริยา ing เช่น
I refuse to go with him.
= ฉันปฏิเสธที่จะไปกับเขา
She refused to participate in the negotiation.
= หล่อนปฏิเสธที่จะเข้าร่วมเจรจา
He refused to answer all the questions.
= เขาปฏิเสธที่จะตอบคำถามทั้งหมด
She refused to accept my invitation.
= หล่อนปฏิเสธคำเชิญของฉัน
คำนี้สามารถตามด้วยคำนามก็ได้ เช่น
I refused his offer yesterday.
= ฉันได้ปฏิเสธข้อเสนอของเขาไปเมื่อวานนี้
I applied for a loan, but the bank refused.
= ฉันยื่นขอกู้เงินแต่ธนาคารปฏิเสธ
คำนี้เหมือนกับคำว่า to say no หรือ to turn down ก็ได้เช่น
He asked to stay, but I refused. (I said no. = I turned it down.
เขาขอให้ฉันอยู่แต่ฉันปฏิเสธ
It is the best offer that I can’t refuse.
= เป็นข้อเสนอที่ดีที่สุดที่ฉันปฏิเสธไม่ได้
มีความหมายเหมือนกับ
It is the best offer that I can’t say no.
It is the best offer that I can’t turn it down.
เมื่อนำคำนี้มาใช้เป็นคำนาม อ่านว่า (เร๊ฝ) ฟู๊ศ หมายถึง ขยะ = garbage , rubbish เช่น
The workers collect household refuse every other day.
= คนงานเก็บขยะในครัวเรือน (ขยะตามบ้าน)วันเว้นวัน
Decaying refuse is littered along the streets after the concert.
= ขยะที่กำลังเน่าเสียถูกทิ้งเกลื่อนกลาดตามถนนหลังงานแสดงดนตรี

วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ก้าวแรกของความสำเร็จ

Everybody says, “ mistake is the first step of success, but the real fact is “ correction of the mistake is the first step to success”.

ทุกคนบอกว่า ความผิดพลาดเป็นก้าวแรกของความสำเร็จ
แต่ความจริงคือ การแก้ไขความพลาดต่างหากคือก้าวแรกของความสำเร็จ

สำนวน
คำว่า correct เป็นคำคุณศัพท์ มีความหมายเหมือนคำว่า right หมายถึง ที่ถูกต้อง เช่น
That’s a correct answer. = นั่นเป็นคำตอบที่ถูกต้อง
และหากต้องการจะเน้นว่า ถูกต้องมากหรือถูกเป๋ง ไม่ผิดเพี๊ยน ก็สามารถเอาคำวิเศษณ์ไปขยายได้ เช่น
You are perfectly correct. = คุณถูกเต็มๆ
What he has just said is entirely correct.
= สิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปถูกต้องที่สุด
ข้อความที่เรามักเจอก็คือ Which sentence is grammatically correct?
= ประโยคไหนที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
และคำนี้สามารถนำไปใช้ในรูปของกริยาได้ด้วย หมายถึง แก้ไข เช่น
Correct your mistakes before blaming others.
= แก้ไขตัวเองก่อนจะไปตำหนิคนอื่น
The teacher has corrected my grammar.
= ครูแก้ไวยากรณ์ให้ฉัน
He corrected me when I said something wrong.
= เขาแก้ให้ฉันตอนที่ฉันพูดผิด
และสำนวน Correct me if I am wrong? หมายถึง ช่วยแก้สิ่งที่พูดให้ด้วยถ้าพูดผิด ใช้เมื่อผู้พูดต้องการจะใส่ความคิดเห็นลงไปแต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดนั้นจะผิดหรือถูก ใช่หรือไม่ใช่ ก็เลยออกตัวไว้ก่อนเช่น
Correct me if I am wrong. I think he is a liar.
= ถ้าฉันพูดผิด ก็ช่วยแก้ให้ด้วย ฉันคิดว่าเขาโกหกนะ
คำนามคือ correction การแก้ไขสิ่งผิด ความผิดพลาด ใช้ได้ทั้งคนและสิ่งของ เช่น
The teacher has made a lot of corrections on my paper.
= ครูแก้ข้อผิดพลาดรายงานของฉันเยอะแยะไปหมด
My essay was covered in corrections in red ink.
= เรียงความของฉันถูกครูแก้ด้วยหมึกแดงจนแดงเถือก
The smartphone will send the corrections to the printer.
= โทรศัพท์อัจฉริยะจะส่งสิ่งที่แก้ไขไปยังเครื่องพิมพ์
และคำนี้เองที่สามารถหมายถึง ดัดสันดานหรือเอาคนมาแก้ไขพฤติกรรมโดยเฉพาะการก่ออาชญากรรม เช่น
The government spends a lot of budget on corrections of the criminals.
= รัฐบาลใช้งบประมาณจำนวนมากไปกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของพวกอาชญากร

วันเสาร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

อย่าด่วนสรุป

Before you assume, learn the facts.
Before you judge, understand why.
Before you hurt someone, feel for them.
Before you speak, think.

ก่อนจะคิดไปเอง ให้รู้ความจริงซะก่อน
ก่อนจะว่าใคร ให้เข้าใจเหตุผลเขาซะก่อน
ก่อนจะทำให้ใครเจ็บ ให้รู้สึกเห็นใจเขาก่อน
ก่อนจะพูดอะไร ให้คิดซะก่อน

สำนวน
คำว่า assume เออะ (ซูม) หมายถึง ทึกทักเอาเอง คิดเอาเอง เช่น
He often assumes that his friend is a liar.
= เขามักจะคิดไปเองว่าเพื่อนเขาเป็นคนโกหก
Don’t assume that I agree when I say nothing.
= อย่าคิดไปเองว่าฉันเห็นด้วยเมื่อฉันไม่พูดอะไร
Don’t assume that he is irresponsible just because he can’t attend the meeting.
= อย่าเพิ่งคิดไปเองว่าเขาไม่รับผิดชอบเพราะเขาไม่ได้เข้าประชุม
We can assume that she is worried from the way she speaks.
= เราคิดเอาเองว่าหล่อนวิตกกังวลจากท่าทีที่พูด
และ Let’s assume that S +V , what will we do then? = ถ้าเป็นแบบนั้น เราจะทำอย่างไร
เช่น
Let’s assume that she can’t come to the party. What will we do then?
= ถ้าหล่อนไม่สามารถมางานเลี้ยงได้ เราจะทำอย่างไร
Let’s assume that the operation fails. What will we do then?
= ถ้าการผ่าตัดล้มเหลว เราจะทำอย่างไร
และคำนี้เองยังหมายถึง รับทำหน้าที่ หรือภาระ หรืองานได้เช่น
To assume the role of… = รับทำหน้าที่นั้นๆ เช่น
Finally, he assumed the role of managing manager.
= ในที่สุดเขาก็รับหน้าที่ผู้บริหาร
Trump has assumed presidency.
= ทรัมเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี
I don’t want to get that position because it means I have to assume more responsibility.
= ฉันไม่อยากรับตำแหน่งนั้นเพราะหมายถึงฉันต้องรับผิดชอบมากขึ้น
และคำนามคือ an assumption หมายถึง การทึกทัก การสมมติฐาน เช่น
He made the assumption that everyone was not responsible.
= เขาคิดไปเองว่าทุกคนไม่รับผิดชอบ
Those students are not attentive. That’s my assumption.
= เด็กพวกนั้นไม่ตั้งใจเรียน นั่นคือสมมติฐานของฉัน
และสำนวน to be based on the assumption that… หมายถึง ตามข้อสมมติฐานที่ว่า เช่น
The layoff is made on the assumption that the economy is getting worse.
= การปลดพนักงานออกทำไปโดยข้อสมมติฐานที่ว่าเศรษฐกิจกำลังแย่ลง
We can’t flunk the student on the assumption that he is rude to his teacher.
= เราไม่สามารถให้นักเรียนสอบตกโดยใช้ข้อสมมติฐานว่าเขาหยาบคายกับครู
สำนวน to feel for + คนใดคนหนึ่ง หมายถึง เห็นใจ
I feel for her but I don’t know how to help.
= ฉันรู้สึกเห็นใจหล่อนแต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไง
I feel deeply for the victim but there’s nothing I can do to help.
= ฉันรู้สึกเห็นใจคนที่เคราะห์ร้ายจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไง
To feel for + someone = to have sympathy for + someone = รู้สึกเห็นใจ ใช้แทนกันได้ในทุกที่

วันอังคารที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

อย่าคาดหวัง

People know themselves much better than you do. That’s why it is important to stop expecting them to be something other than who they are.

คนอื่นเขาย่อมรู้จักตัวเองดีกว่าเรามาก
นั่นคือเหตุผลสำคัญที่เราต้องหยุดคาดหวัง
ให้เขาเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเขา

สำนวน
to expect someone to do something
= คาดหวังให้ใครทำอะไร เช่น
The teacher expects her students to study hard.
= ครูคาดหวังให้นักเรียนขยัน
Mom always expects her son to be a good person.
= แม่มักคาดหวังให้ลูกเป็นคนดี
The boss expects his workers to devote themselves.
= หัวหน้าคาดหวังให้ลูกน้องทุ่มเท
คำว่า to expect + to do = to hope to + do เช่น
I expect to see you there . = I hope to see you there.
= หวังว่าจะได้เจอคุณที่นั่น
She expects to do well on the test. = She hopes to do well on the test.
= หล่อนคาดหวังจะทำข้อสอบได้ดี
หรือ to expect + สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ได้เช่น
We expect sunshine. = เราหวังว่าจะมีแดด
She is expecting a phone call from her Dad.
= หล่อนคาดหวังว่าพ่อจะโทรมา
และโครงสร้าง to expect that + S + V เช่น
We expect that you will come with us.
= เราคาดหวังว่าคุณจะมากับเรา
The company expects that the sales will increase by the end of the month.
= ทางบริษัทคาดหวังว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นก่อนสิ้นเดือน
I expect that it will not rain at the beach.
= ฉันคาดหวังว่าฝนจะไม่ตกที่ชายหาด
และสำนวน As expected, S+ V หมายถึง ตามที่ได้คาดไว้ เช่น
As expected, he passed the test. (He passed the test as expected.)
= ตามที่คาดไว้ เขาสอบผ่าน
As expected, it didn’t rain. (It didn’t rain as expected.)
= ตามที่คาดไว้ ฝนไม่ตก
Oil prices haven’t risen as expected.
= ราคาน้ำมันไม้ได้ขึ้นตามที่คาด
Don’t expect anything from me.
= อย่ามาคาดหวังอะไรจากฉัน
และ She is expecting a baby.
= หล่อนกำลังจะมีน้อง
Other than = except = ยกเว้น
เช่น I will drink nothing other than milk. = หล่อนไม่ดื่มอะไรยกเว้นนม
He knows everything other than himself.
= เขารู้ทุกอย่างยกเว้นตัวเอง
Our restaurant is open every day other than Sunday.
= ร้านอาหารเปิดทุกวันยกเว้นวันอาทิตย์

วันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ความรักที่ไม่เจ็บปวด

It hurts when the ones we love hurt us
and it’s painful when we give others much more than they deserve.
But if an act of kindness is done with a pure heart full of love,
then it was done for all the right reasons,
it is not for us to decide if someone is worthy or not.

ปวดใจนะเมื่อคนรักทำเราเจ็บปวดและรวดร้าวเมื่อคิดว่าเราให้อะไรกับใครมากกว่าที่เขาสมควรได้รับ แต่ถ้าทำด้วยความรักเมตตาแล้ว เหตุผลอะไรก็ดีทั้งนั้น ไม่ต้องคิดหรอกว่าคนนั้นคู่ควรไหม

สำนวน
โครงสร้าง It hurts when + S + V หมายถึง เป็นสิ่งที่เจ็บปวดเมื่อ.... เช่น
It hurts when you don’t trust me.
= เจ็บปวดนะเมื่อเธอไม่เชื่อใจฉัน
You know! It really hurts when you lie to me.
= รู้ไหม ว่ามันปวดใจมากเมื่อเธอโกหกฉัน
It really hurts when someone cheats on you.
= ปวดใจจริงๆนะเมื่อถูกสวมเขา (นอกใจ)
To deserve หมายถึง สมควรได้รับ ใช้ได้ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี เช่น
He deserved the punishment.
= เขาสมควรถูกลงโทษ
She deserved a reward. = หล่อนสมควรได้รับรางวัล
He deserved to be a winner. = เขาสมควรเป็นผู้ชนะแล้ว
I think you deserve a promotion.
= ฉันคิดว่าเธอสมควรได้รับการเลื่อนตำแหน่งนะ
Those who work hard deserve a raise.
= คนที่ขยันก็สมควรได้รับการขึ้นเงินเดือน
You deserve everything you get for your dedication.
= คุณควรได้รับทุกอย่างสำหรับความทุ่มเท
Some students are inattentive and fail the test. They get what they deserve.
= นักเรียนบางคนไม่ตั้งใจเรียนและสอบตก ก็สมควรแล้ว
People are fined for drunk-driving. They get what they deserve.
= คนที่เมาแล้วขับถูกปรับ ก็สมควรแล้ว
That guy served a life sentence for drug trafficking. He got what he deserved.
= ชายคนนั้นโดนคุกตลอดชีวิตโทษฐานค้ายาเสพติด ก็สมควรแล้ว
He was sentenced to death for premeditated murder. He got what he served.
= เขาถูกลงโทษประหารชีวิตสำหรับการฆาตกรรมที่ไตร่ตรองไว้ก่อน ก็สมควรแล้ว
(premeditated = ที่ไตร่ตรองไว้ก่อน) pre = ก่อน meditate = ครุ่นคิด
What have I done to deserve this? = ฉันทำอะไรหรือถึงได้รับอะไรแบบนี้ (เป็นคำพูดที่ใช้ตัดพ้อ ทำนองว่า สงสัยในสิ่งที่ทำ)
You are so dedicated. You deserve a promotion.
= คุณทุ่มเทมาก สมควรได้เลื่อนตำแหน่ง
I think everyone deserves a chance.
= ฉันคิดว่าทุกคนสมควรได้รับโอกาส
He deserved to get lost because he didn’t listen to us.
= เขาสมควรหลงทางแล้วเพราะไม่ฟังเรา
Eventually, people get what they deserve.
= ในที่สุดแล้ว คนเราก็สมควรได้ตามที่เขาทำ
I think that singer deserved to win because her voice was more powerful.
= ฉันคิดว่า นักร้องคนนั้นสมควรจะชนะเพราะเสียงมีพลังมากกว่า
She thinks she should not deserve this kind of unfair treatment.
= หล่อนคิดว่าหล่อนไม่สมควรถูกปฏิบัติที่ไม่ดีเยี่ยงนี้
เราสามารถใช้โครงสร้างง่ายๆว่า Someone + deserve(s) (d) it. หมายถึง ก็สมควรแล้ว เช่น
You deserve it. = คุณสมควรแล้ว
He deserved it. = เขาสมควรได้รับแบบนั้น
They deserve it. = พวกเขาสมควรได้รับแบบนั้น
เราสามารถใช้พูดในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งดีและไม่ดี เพราะ “it” หมายถึง สิ่งที่กำลังพูดถึงอยู่ ส่วนกริยา “to deserve” ก็สามารถใช้เป็นปัจจุบันหรืออดีตก็ได้ สุดแต่ว่าพูดตอนไหน
และเมื่อนำมาทำเป็นคำคุณศัพท์ deserved เอาไปวางไหว้หน้าคำนาม ก็หมายถึง ที่สมควรได้รับสิ่งนั้น เช่น
It’s a deserved break = การพักผ่อนที่สมควรได้รับแล้ว
It’s a deserved victory. = เป็นชัยชนะที่สมควรได้รับแล้ว
Phuket has a well-deserved reputation as the Pearl of the Andaman.
= ภูเก็ตก็สมควรได้รับชื่อเสียงอย่างกว้างขวางว่าเป็นไข่มุกแห่งอันดามัน

วันพฤหัสบดีที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ชีวิตที่งดงาม

Difficult roads often lead to beautiful destinations.

เส้นทางที่ขรุขระมักนำไปสู่จุดหมายที่งดงาม

สำนวน

To lead to + สิ่งใดสิ่งหนึ่ง หมายถึง ทำให้เกิด ใช้เหมือน to result in เช่น
Too much work leads to stressful life.
= การทำงานหนักเกินไปทำให้ชีวิตเครียด
Creativity leads to innovation.
= ความคิดสร้างสรรค์ทำให้เกิดนวัตกรรม
Smoking leads to cancer.
= การสูบบุหรี่ทำให้เกิดมะเร็ง
Blaming always leads to conflicts.
= การเพ่งโทษมักจะนำไปสู่ความขัดแย้ง
นอกจากนี้ คำว่า to lead + คนใดคนหนึ่ง + to do สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ยังหมายถึง ทำให้คนๆนั้นทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ เช่น
His interest in religion leads him to practice meditation.
= ความสนใจในศาสนาทำให้เขาฝึกสมาธิ
Her volunteer work leads her to a career in hospitals.
= งานอาสาสมัครที่เธอทำทำให้เธอไปทำงานในโรงพยาบาล
คำว่า destination หมายถึง จุดหมายปลายทาง
Phuket is a popular tourist attraction in Thailand. = ภูเก็ตเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่นิยมของประเทศไทย
What is your destination?
= จุดหมายของคุณคือที่ไหน (จะไปไหน)
New York is my favorite holiday destination.
= นิวยอร์คเป็นปลายทางของการพักผ่อนที่ฉันชอบ
I enjoy travelling to exotic destinations.
= ฉันชอบเดินทางท่องเที่ยวไปยังจุดหมายปลายทางที่แปลกๆ มีเอกลักษณ์
เราสามารถเอาไปขยายคำนามอื่นก็ได้เช่น
We are getting to our destination restaurant.
= เรากำลังจะถึงภัตตาคารที่เป็นจุดหมายของเราแล้ว
It takes us about two hours to get to our destination resort.
= ใช้เวลาอีกประมาณสองชั่วโมงก็จะถึงรีสอร์ทที่เป็นจุดหมายของเราแล้ว