เคยไหม ตอนที่เราเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้เครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์หรือขั้นตอนในการทำอะไรใหม่ๆ ไม่ต้องเอาอะไรที่มันไกลตัวไป เอาพวก application ในมือถือนี่แหละ เรามักเจอคำถามทำนองนี้
เอ ต้องทำอะไรก่อนดีล่ะ หรือ แล้วต่อมาทำยังไงดีล่ะ หากเจออะไรแบบนี้ เราสามารถใช้ว่า
What do I do first? = เริ่มยังไงดีนะ
What do I do next? = แล้วไงต่อล่ะ
What do I do after that? = แล้วไงต่อ
หากทำแล้ว เกิดไม่เป็นไปตามที่หวัง เราก็สามารถระบายได้ว่า เฮ้ย ทำอะไรผิดไปวะเนี่ยะ What am I doing wrong? หรือ Why doesn’t this work? ทำไมมันไม่เป็นให้ หรือจะอุทานแบบแรงๆว่า เฮ้ย ทำไมไม่ได้ ทำไมมันไม่เป็นแบบนั้นล่ะ ใช้ได้ดังนี้
How come + this doesn’t work.
How come nothing happens?
เวลาใช้ how come นั้นขอบอกว่าสะดวกสุดๆ แทนที่จะใช้ why ใช้ How come ไปเลยเพราะ why มันต้องไปโยกย้ายกริยากับประธานอีก เช่น
Why does nothing happen? เห็นไหมว่ายากกว่ากันเยอะ ไหนจะกริยาที่เปลี่ยนที่เปลี่ยนทางไหนจะต้องมาคำนึงถึงกริยาที่ต้องสอดคล้องกันอีก เอามันแบบง่ายๆไปเลย How come นี่แหละ work สุดๆ เช่น
How come you came late?
= ทำไมมาสาย
ถ้าใช้ why โอย ต้องใช้ว่า Why did you come late? เห็นไหมว่ามันต่างกัน
หรือจะบอกว่า เอ ตรูคิดไม่ออกว่ะ
I can’t figure it out. = คิดไม่ออก
I can’t understand this. = ไม่เข้าใจว่ะ
I can’t seem get this to work. = ดูเหมือนว่าจะใช้มันไม่ได้แล้ว หรือ
That doesn’t seem to work. ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล
และหากพยายามแล้วพยายามอีก ก็เห็นว่า ต้องยกธงดีกว่า สงสัยชาตินี้ก็คงจะเรียนรู้หรือทำไม่ได้ แบบนี้ก็เอาสำนวนพวกนี้ไปใช้กันเถอะ
I can’t figure it out for the life of me.
= ชีวิตอย่างฉัน คงคิดไม่ออกแน่
หรืองงฉิบเป้ง
= This has got me confounded.
งงเป็นไก่ตาแตก
= I am completely / totally lost
I am totally at sea.
= เหมือนอยู่กลางทะเล (เคว้งคว้างไหมล่ะ )
I can’t make heads or tails of this.
= จับต้นชนปลายไม่ถูกแล้วเน้อ
I don’t know if / whether I’m coming or going.
= ไม่รู้ว่าไปทางไหนแล้ว
ใช้แค่ if หรือ whether เอาแค่ตัวเดียวพอ คำว่า if/ whether แปลว่า หรือไม่ อย่าไปแปลคำว่า if ว่า ถ้า เข้าล่ะ ถ้าแปลอย่างนั้นจบเห่แน่นอน
และสุดท้าย ไม่ไหวแล้วจ้า เกินความสามารถแล้วล่ะท่านผู้ชม ก็ใช้ว่า
This is over my head. หรือ This is beyond me.
มันเกินความสามารถไปแล้ว
เราสามารถเอาไปปรับใช้เป็น
This is over his head.
= เขาไม่ไหวแล้ว เรียนรู้ไม่ได้ ทำไม่เป็นแน่ๆ หรือ
This is beyond her.
= เธอก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน
สำนวน to be beyond + คน มันก็คือ เลยความสามารถของคนๆนั้นไปแล้ว
คนเรามันเป็นปุถุชนเนอะ ก็ต้องมีอารมณ์ ไอ้เจ้าอารมณ์นี่แหละมันทำให้ชีวิตมีสีสัน ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ มันก็ต้องหงุดหงิด จิตตกเป็นของธรรมดาแต่เมื่อมีอารมณ์แล้ว ก็ต้องหาทางปล่อย ไม่งั้นอกแตกตายแน่
That’s driving me crazy.
=โอ๊ย หงุดหงิดจังโว้ย
That’s driving me up the wall.
= แปลเหมือนกัน แต่เห็นภาพว่า กำลังไต่ขึ้นฝาผนัง (แล้วมันทำได้ไหมล่ะ ยากจะตาย)
I am at my wit’s end.
= จนปัญญาแล้ว (คำว่า wit= ปัญญา)
I am at the end of my rope.
= หมดแล้วความอดทน มาถึงปลายเชือกแล้ว ไม่ไหวแล้ว
I don’t have a clue.
= ไม่รู้ (clue = เงื่อนงำ)
I don’t have the faintest idea what to do.
= ไม่รู้สักนิดเลยว่าจะทำยังไง (คำว่า faint = น้อย เอาไปใส่ est เป็น faintest ยิ่งเห็นภาพชัดเข้าไปอีก)
I can’t get figure out how to get this to work.
= คิดไม่ออกแล้วว่าจะทำมันยังไง
This has really got me stupid.
= มันทำให้ฉันโง่ไปถนัดใจเลย
I just can’t get a handle on this.
= ยังไงๆ ก็ไม่เข้าใจ หัวมันไม่รับ
I’ve had it up to here.
= เต็มกลืนแล้ว ไม่รู้เรื่องแล้วจร้า
เอาแบบนี้ หมั่นนึกไว้เวลาเรียนรู้อะไรใหม่ๆแล้วมันไปไม่ถึง หมั่นพูดหมั่นนึกไว้ เดี๋ยวก็เก่งไปเอง ถ้ายังไม่เก่ง ก็ต้องเพิ่มระดับความเพียรเป็นสองเท่า สามเท่า เพราะ
Where there is a will, there is a way.
= ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น
แต่ก็มีคนเอาสุภาษิตมาล้อเล่นว่า
Where there is a will, there is a will.
= ที่ไหนมีความพยายาม ก็พยายามไปเถอเอ็ง
(ไม่มีวันสำเร็จ เอาไว้แซวเล่นกัน)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น