วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2563
Risks
Risks
To weep is to risk appearing sentimental.
การร้องไห้คือการเสี่ยงที่จะถูกมองว่าอ่อนไหว
To reach out for another is to risk involvement.
การช่วยเหลือคนอื่นคือการเสี่ยงถูกมองว่าไปเกี่ยวพันด้วย
To expose feelings is to risk exposing your true self.
การแสดงความรู้สึกคือการเสี่ยงที่จะเปิดเผยตัวตนออกมา
To love is to risk not being loved in return.
การรักคือการเสี่ยงที่จะไม่ได้รับรักตอบ
To hope is to risk despair.
การหวังคือการเสี่ยงที่จะท้อแท้
To try is to risk failure.
ความพยายามคือการเสี่ยงที่จะล้มเหลว
But risks must be taken, because the greatest hazard in life is to risk nothing.
อย่างไรซะ เราก็ต้องเสี่ยงเพราะสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของการเสี่ยงคือการไม่เสี่ยงทำอะไร
The person who risks nothing, does nothing, has nothing, and is nothing.
คนที่ไม่เสี่ยงอะไรก็คือคนที่ไม่ทำอะไร ไม่มีอะไรและก็จะไม่มีค่าอะไร
They may avoid suffering and sorrow, but they cannot learn, feel, change, grow, love, or live.
จริงอยู่ อาจหนีความทุกข์ ความเสียใจได้แต่จะไม่สามารถเรียนรู้อะไรใหม่ๆได้ ไม่สามารถรู้สึก ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง เติบโต รักหรือใช้ชีวิต
Chained by their attitudes, they are slaves. they have forfeited their freedom.
เพราะมุมมองที่ถูกตีตรวนนี้ ก็คือทาสดีๆนั่นเอง พวกเขายอมให้เสรีภาพถูกพรากไป
Only a person who risks is free.
มีก็แต่คนที่เสี่ยงเท่านั้นที่จะเป็นอิสระ
วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2563
It totally slipped my mind.
It totally slipped my mind.
สำนวนนี้เอาไว้ใช้บรรยายอาการขี้ลืม ของมนุษย์ที่มีเรื่องต้องให้คิดต้องให้ทำเยอะแยะไปหมด แต่ดันกลับลืมเรื่องที่ต้องทำนี่ซิ มันถึงน่าเจ็บใจ เมื่อใดมีอาการอย่างว่า ก็สามารถใช้สำนวนนี้ไปบรรยายได้ เช่น
I plan to call you last night, but it totally slipped my mind.
= เมื่อคืนกะจะโทรหาแต่ดันลืมซะสนิทเลย
I can’t believe it has totally slipped my mind.
= ไม่อยากเชื่อว่าฉันลืมมันซะสนิทเลย
คำว่า slip หมายถึง ลื่นไถล ในที่นี้คือ ลื่นหลุดไปจากใจ
เช่น
He slipped in the bathtub and broke his knee.
= เขาลื่นไถลในอ่างอาบน้ำและหัวเข่าแตก
I slipped while I was running to the bus stop.
= ฉันลื่นไถลขณะที่กำลังวิ่งไปที่ป้ายรถประจำทาง
There was something I needed to do today, but it totally slipped my mind.
= มีบางอย่างที่ต้องทำวันนี้ แต่ลืมสนิทเลย
A: Did you forget anything?
นี่ ลืมอะไรไปหรือเปล่า
B: Well. What do you mean?
ลืมอะไรเหรอ หมายความว่าไง
A: Today is Mom’s birthday.
วันนี้ วันเกิดแม่
B: Oh, my god. I need to call her and wish her Happy Birthday. It totally slipped my mind.
ตายล่ะ ต้องโทรไปอวยพรวันเกิดหน่อย ลืมซะสนิทเลย
คำว่า slip ที่เราคุ้นมักจะเป็นคำนาม เช่น a payslip ใบแจ้งเงินเดือน หรือกระดาษแผ่นเล็กๆไม่กว้างมาก ใช้ได้หมด
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2563
To come full circle
To come full circle
= กลับไปทำสิ่งที่เคยทำมาครั้งแรก แม้ผ่านการทำอะไรมากมาย ผ่านการเปลี่ยนแปลงมามากมาย (คิดถึงเวลาเขียนวงกลม จะเริ่มจากจุดหนึ่งและมาจบลงที่เดิมนั่นเอง)
My friend started his career as an actor.
Then he ran his own business and got married.
He was an interpreter.
Now he is an actor again.
He comes full circle.
= เพื่อนฉันเริ่มทำงานเป็นนักแสดง
แล้วไปทำธุรกิจส่วนตัวและแต่งงาน
เขาไปเป็นล่าม
ตอนนี้ก็หันมาเป็นนักแสดงอีกครั้ง
เขาทำมาจนครบแล้ว
วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2563
I have decided to
I have decided to + กริยา ฉันได้ตัดสินใจที่จะทำไปแล้ว
I’ve decided to + กริยา
หมายถึง ได้ตัดสินใจที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปแล้ว
I’ve decided to go with you.
= ฉันได้ตัดสินแล้วว่าจะไปกับเธอ
I’ve decided to marry him.
= ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งงานกับเขา
I’ve decided to talk to the boss.
= ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะพูดกับหัวหน้า
I’ve decided to change my bad habit.
= ฉันได้ตัดสินแล้วว่าจะเปลี่ยนนิสัยแย่ๆ
I’ve decided to quit smoking.
= ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเลิกสูบบุหรี่
I’ve decided to eat Italian food.
= ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะกินอาหารอิตาลี
I’ve decided to go to England.
= ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไปลอนดอน
อย่าลืมว่าจะต้องแปลว่า ได้..ตัดสินใจแล้ว
ทีนี้ ก็ลองเอาคำว่า “not” มาใส่ดู ก็จะได้ความหมายตรงข้าม
หมายความว่า ได้ตัดสินใจแล้วว่า จะไม่ ทำสิ่งนั้น เช่น เช่น
I’ve decided + NOT + to talk to him.
= ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พูดกับเขา
I’ve decided + NOT + to go with you.
= ฉันได้ตัดสินแล้วว่าจะไม่ไปกับเธอ
I’ve decided + NOT +to marry him.
= ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่แต่งงานกับเขา
I’ve decided + NOT +to talk to the boss.
= ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พูดกับหัวหน้า
I’ve decided + NOT +to change my bad habit.
= ฉันได้ตัดสินแล้วว่าจะไม่เปลี่ยนนิสัยแย่ๆ
I’ve decided+ NOT + to quit smoking.
= ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เลิกสูบบุหรี่
I’ve decided + NOT +to eat Italian food.
= ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กินอาหารอิตาลี
I’ve decided+ NOT + to go to England.
= ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะ ไม่ไปลอนดอน
หลังจากที่คล่องกับโครงสร้างนี้แล้ว ทีนี้ก็มาดูการใช้ในแบบที่หลากลายขึ้น ก็คือ เอาประธานตัวอื่นมาใส่กันมั่ง เพราะประธานไม่ได้มีเพียงตัวเดียว
กลุ่มประธานกลุ่มแรกที่สามารถเอาประธานตัวอื่นไปแทนที่ได้คือ
I / You / We / They + have decided to
กริยาย่อได้เป็น I’ve decided to
I have decided to do it. กริยาถูกย่อเป็น I’ve decided to do it.
=ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะทำ
ประธานกลุ่มที่ 2 คือ
He/ She / It + has + decided to + v ย่อได้เป็น She’s decided to
She has decided to do it. กริยาถูกย่อเป็น She’s decided to
หล่อนได้ตัดสินใจแล้วว่าจะทำมัน
I’ve decided to go with you.
= ฉันได้ตัดสินแล้วว่าจะไปกับเธอ
เอาเป็นว่า ประธานกลุ่มแรกก็ใช้กริยาชุดแรก
ส่วนกริยากลุ่มที่ 2 ใช้กริยากลุ่มที่ 2
She has decided to marry him.
= หล่อนตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งงานกับเขา
She has decided to talk to the boss.
= หล่อนตัดสินใจแล้วว่าจะพูดกับหัวหน้า
They have decided to change their habits.
= พวกเขาตัดสินแล้วว่าจะเปลี่ยนนิสัย
My dad has decided to quit smoking.
= พ่อได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเลิกสูบบุหรี่
We have decided to eat Italian food.
= พวกเราได้ตัดสินใจแล้วว่าจะกินอาหารอิตาลี
I have decided to go to England.
= ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไปลอนดอน
ทีนี้ ก็ลองเอาคำว่า “not” มาใส่ดู ก็จะได้ความหมายตรงข้าม เช่น
I’ve decided + not + to do it.
=ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทำ
เป็นโครงสร้าง
ประธาน + have / has decided + NOT + to
ทีนี้ก็เอาไปใช้กันดู
She has decided + NOT +to do it.
หล่อนได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทำมัน
She has decided +NOT + to marry him.
= หล่อนตัดสินใจแล้วว่าจะไม่แต่งงานกับเขา
She has decided + NOT + to talk to the boss.
= หล่อนตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พูดกับหัวหน้า
They have decided + NOT + to change their habits.
= พวกเขาตัดสินแล้วว่าจะไม่เปลี่ยนนิสัย
My dad has decided + NOT + to quit smoking.
= พ่อได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เลิกสูบบุหรี่
We have decided + NOT + to eat Italian food.
= พวกเราได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กินอาหารอิตาลี
I have decided + NOT + to go to England.
= ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปลอนดอน
ทีนี้ ก็ถึงตาที่แต่ละคนต้องเอาไปใช้กันแล้ว
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2563
There's nothing worse than...
There’s nothing worse than meeting the perfect person at the wrong time.
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2563
Impermanence
Impermanence , suffering and no-self are the three magical words of a Buddhist.
They are effectively used to get rid of all the sufferings.
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เป็นคาถา ของชาวพุทธ ที่สุดขลัง
ยามความทุกข์ เข้าถาโถม โหมประดัง
ท่องดังดัง แล้วทุกข์นั้น จะค่อยคลาย
ศัพท์สำนวน
คำว่า impermanence ก็คือ ความอนิจจัง มาจากการรวมกันของคำสองคำคือ im= ไม่ ส่วนคำว่า permanence = ความยั่งยืน
ตามความเชื่อของชาวพุทธแล้ว ไม่มีสิ่งใดยั่งยืน
ส่วนคำว่า no-self ก็คือ ความไม่มีตัวตนหรืออนัตตานั่นเอง
สำนวนว่า magical words คือ คำศักดิ์สิทธิ์ ที่เลือกใช้คำว่า magical เพราะเหมือนคำที่มีเวทย์มนต์ มาจากคำนามคือ magic
ส่วนสำนวนว่า get rid of + สิ่งใดหรือคนใด ก็คือ กำจัดหรือทำให้หมดสิ้นไป
คำว่า sufferings ก็คือ สิ่งที่ทำให้คนเราเป็นทุกข์