แบบฝึกหัดทบทวน
จงแปลประโยคต่อไปนี้เป็นภาษาอังกฤษ
1. คอมพิวเตอร์เครื่องนี้ดีเท่ากับคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น
2. เจ้านายคนนี้ใจดีเท่ากับเจ้านายคนนั้น
3. งานนี้ท้าทายเท่ากับงานนั้น
4. รถคันนี้สะดวกสบายเท่ากับรถคันนั้น
5. เพื่อนของฉันเป็นคนเข้าใจคนอื่นได้ดีเท่ากับเพื่อนของเขา
6. หนังสือเล่มนี้น่าสนใจเท่ากับหนังสือเล่มนั้น
7. เสื้อเชิร์ทตัวนี้ทันสมัยเท่ากับเสื้อเชิร์ทตัวนั้น
8. คนขับรถคนนี้เป็นคนระมัดระวังเท่ากับคนขับรถคนนั้น
9. เพื่อนบ้านคนนี้เป็นคนที่เอาใจใส่คนอื่นเท่ากับเพื่อนบ้านคนนั้น
10.พจนานุกรมเล่มนี้น่าเชื่อถือได้เท่ากับพจนานุกรมเล่มนั้น
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
เฉลย
1.This computer is as good as that computer.
2. This boss is as kind as that boss.
3.This job is as challenging as that job.
4.This car is as comfortable as that car.
5. My friend is as understanding as his friend.
6.This book is as interesting as that book.
7.This shirt is as fashionable as that shirt.
8.This driver is as careful as that driver.
9.This neighbor is as considerate as that neighbor.
10 This dictionary is as reliable as that dictionary.
การเปรียบเทียบขั้นกว่ามีรูปแบบดังนี้
คำพยางค์เดียวใช้ ….er..than เช่น
He is taller than I.
= เขาสูงกว่าฉัน
ทำได้โดการเติม –er
หากเป็นคำมากกว่าสองพยางค์ให้ใช้ more…..than เช่น
This house is more beautiful than that house.
= บ้านหลังนี้สวยกว่าบ้านหลังนั้น เป็นต้น
(กฎปลีกย่อย สามารถหาอ่านได้ในหนังสือไวยากรณ์ทั่วไปหรือคัมภีร์การเขียนพื้นฐาน)
แบบฝึกหัด จงแปลประโยคที่ให้มาเป็นภาษาไทย
1. I am older than my friend.
My friend is younger than I.
2. This house is bigger than that house.
That house is smaller than this house.
3. This boy is smarter than that boy.
That boy is more stupid than this boy.
4. This book is cheaper than that book.
That book is more expensive than this book.
5. This girl is more stupid than that girl.
That girl is more intelligent than this girl.
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
เฉลย
1. ฉันอายุมากกว่าเพื่อนของฉัน
เพื่อนของฉันอายุน้อยกว่าฉัน
2.บ้านหลังนี้ใหญ่กว่าบ้านหลังนั้น
บ้านหลังนั้นเล็กกว่าบ้านหลังนี้
3. เด็กผู้ชายคนนี้ฉลาดกว่าเด็กผู้ชายคนนั้น
เด็กผู้ชายคนนั้นโง่กว่าเด็กผู้ชายคนนี้
4. หนังสือเล่มนี้ถูกกว่าหนังสือเล่มนั้น
หนังสือเล่มนั้นแพงกว่าหนังสือเล่มนี้
5. เด็กผู้หญิงคนนี้โง่กว่าเด็กผู้หญิงคนนั้น
เด็กผู้หญิงคนนั้นฉลาดกว่าเด็กผู้หญิงคนนี้
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
แบบฝึกหัด จงแปลประโยคต่อไปนี้เป็นภาษาอังกฤษ
1.ห้องนี้เงียบกว่าห้องนั้น
ห้องนั้นเสียงดังกว่าห้องนี้
2.อพาร์ทเมนท์นี้สวยกว่าอพาร์ทเมนท์นั้น
อพาร์ทเมนท์นั้นขี้เหร่กว่าอพาร์ทเมนท์นี้
3. สวนสาธารณะแห่งนี้ใหญ่กว่าสวนสาธารณะแห่งนั้น
สวนสาธารณะแห่งนั้นเล็กกว่าสวนสาธารณะแห่งนี้
4.คอมพิวเตอร์เครื่องนี้ล้ำสมัยกว่าคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น
คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นล้าสมัยกว่าคอมพิวเตอร์เครื่องนี้
5.ทีวีเครื่องนี้ใหม่กว่าทีวีเครื่องนั้น
ทีวีเครื่องนั้นเก่ากว่าทีวีเครื่องนี้
…………………………………………………………
1. This room is more quiet than that room.
That room is noisier than this room.
2.This apartment is more beautiful than that apartment.
That apartment is uglier than this apartment.
3.This park is larger than that park.
That park is smaller than this park.
4. This computer is as advanced as that computer.
That computer is less advanced than that computer.
5.This television set is newer than that television set.
That television set is older than this television set.
วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2560
แปลประโยค(ต่อ)
มาลองทำกันต่อ ไม่ต้องเครียด คุณเลือกที่จะแปลข้อที่คุณชอบได้ ข้อไหนที่แปลไม่ได้ ก็ข้ามไป ใช้โอกาสนี้จำไปเลยแต่ห้ามเครียด (ต้องขออภัยสำหรับกรเว้นระยะ พยายามที่สุดแล้ว แต่ใครจะว่าอะไรก็ว่าไป ขอบคุณครับ)
1. โหดร้ายนะที่มีความสุขเมื่อทำให้คนอื่นเจ็บ
2. ฉันดีใจที่ได้ยินข่าวว่าเพื่อนสนิทกำลังจะแต่งงาน
3.ทารกแรกเกิดมักจะนำความสุขมาให้ผู้ที่เป็นพ่อแม่
4. เด็กๆกรีดร้องด้วยความยินดี...
5.แม้จะยุ่งแค่ไหน เธอมักจะหาเวลาว่างเพื่อพูดคุยกับแฟนและทานอาหารเย็นด้วยกันอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
6. คนดังส่วนใหญ่ที่เลิกกันก็เพราะทำงานมากเกินไปจนไม่มีเวลาให้กัน
7. ทุกวันนี้ การโหมงานหนักและพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้คนไม่สบาย
8. เจ้าหญิงมิชิโกะ พระชายาของมกุฎราชกุมารฮิโรชิโตแห่งประเทศญี่ปุ่น เป็นสามัญชนคนแรกที่อภิเษกกับพระราชวงศ์ญี่ปุ่น
9. ช่วงนี้ มีนิทรรศการผ้าไหมที่ศูนย์แสดงสินค้าในกรุงเทพ
10. ผู้ที่เป็นสมาชิกเคเบิ้ลทีวี นิตยสารฉบับนี้ได้รับสิทธิในการซื้อสินค้าทุกรายการในราคาลด 20 %
11.คนทีทำงานในองค์กรนี้สามารถซื้อสินค้าทุกรายการในราคาที่มีส่วนลด
12.ส่วนลดนี้ใช้ได้กับเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
เฉลย
1.It’s cruel to be happy when you hurt people’s feelings.
1. โหดร้ายนะที่มีความสุขเมื่อทำให้คนอื่นเจ็บ
2. ฉันดีใจที่ได้ยินข่าวว่าเพื่อนสนิทกำลังจะแต่งงาน
3.ทารกแรกเกิดมักจะนำความสุขมาให้ผู้ที่เป็นพ่อแม่
4. เด็กๆกรีดร้องด้วยความยินดี...
5.แม้จะยุ่งแค่ไหน เธอมักจะหาเวลาว่างเพื่อพูดคุยกับแฟนและทานอาหารเย็นด้วยกันอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
6. คนดังส่วนใหญ่ที่เลิกกันก็เพราะทำงานมากเกินไปจนไม่มีเวลาให้กัน
7. ทุกวันนี้ การโหมงานหนักและพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้คนไม่สบาย
8. เจ้าหญิงมิชิโกะ พระชายาของมกุฎราชกุมารฮิโรชิโตแห่งประเทศญี่ปุ่น เป็นสามัญชนคนแรกที่อภิเษกกับพระราชวงศ์ญี่ปุ่น
9. ช่วงนี้ มีนิทรรศการผ้าไหมที่ศูนย์แสดงสินค้าในกรุงเทพ
10. ผู้ที่เป็นสมาชิกเคเบิ้ลทีวี นิตยสารฉบับนี้ได้รับสิทธิในการซื้อสินค้าทุกรายการในราคาลด 20 %
11.คนทีทำงานในองค์กรนี้สามารถซื้อสินค้าทุกรายการในราคาที่มีส่วนลด
12.ส่วนลดนี้ใช้ได้กับเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
เฉลย
1.It’s cruel to be happy when you hurt people’s feelings.
2. I am glad to hear that my close friend is going to get married.
3.A newly born baby usually brings delight (happiness) to its parents.
4. The kids are screaming with delight.
5. Though she is busy, she always makes (finds) time to talk to her boyfriend and have dinner with him at least once a week.
6.Most celebrities break up because they overwork and they fail to find (make) time for each other.
7.Nowadays, overwork and insufficient rest make people ill.
8.Princess Michiko, the consort of Crown Prince Hirohito of Japan, is the first commoner to marry into the Japanese royal family.
9.At this time, there is an exhibition of silk at the exhibition center in Bangkok.
10.Cable television subscribers have the privilege to get a 20% discount for all items.
11.People who work in the organization can buy all items at a discount.
12.The discount applies only to children under 8.
3.A newly born baby usually brings delight (happiness) to its parents.
4. The kids are screaming with delight.
5. Though she is busy, she always makes (finds) time to talk to her boyfriend and have dinner with him at least once a week.
6.Most celebrities break up because they overwork and they fail to find (make) time for each other.
7.Nowadays, overwork and insufficient rest make people ill.
8.Princess Michiko, the consort of Crown Prince Hirohito of Japan, is the first commoner to marry into the Japanese royal family.
9.At this time, there is an exhibition of silk at the exhibition center in Bangkok.
10.Cable television subscribers have the privilege to get a 20% discount for all items.
11.People who work in the organization can buy all items at a discount.
12.The discount applies only to children under 8.
Why Complicate Life?
Why Complicate Life?
Miss somebody…. Call
Wanna meet up……Invite
Wanna be understood…. Explain.
Have questions ……..Ask....
Don’t like something…. Say it.
Like something……..State it.
Want something……Ask for it.
Love someone…….Tell it.
We just have one life.
Keep it simple.
Miss somebody…. Call
Wanna meet up……Invite
Wanna be understood…. Explain.
Have questions ……..Ask....
Don’t like something…. Say it.
Like something……..State it.
Want something……Ask for it.
Love someone…….Tell it.
We just have one life.
Keep it simple.
ทำชีวิตให้มันยุ่งยากทำไม
คิดถึงใคร ก็โทรหา
อยากเจอใคร ก็เชิญมา
อยากให้คนเข้าใจ ก็อธิบายไป
มีปัญหา ก็ถาม
ไม่ชอบอะไร ก็บอกไป
ชอบอะไร ระบุไปเลย
อยากได้อะไร ก็ขอ
รักใคร ก็บอกไป
เรามีเพียงชีวิตเดียว
ทำชีวิตให้มันเรียบง่าย
สำนวน
Life is simple; man complicates it.
= ชีวิตเรียบง่าย คนเราทำให้ยุ่งยาก
Don’t come if you don’t want to complicate the problem.
= อย่ามา ถ้าไม่อยากทำให้เรื่องมันยุ่งมากขึ้นไปอีก
To complicate matters further, you mustn’t tell them the truth.
= เพื่อที่จะทำให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้นไปอีก ก็ห้ามบอกความจริงกับพวกเขา
Fighting doesn’t do good to anyone ; it complicates the situation.
= การทะเลาะกันไม่ได้ส่งผลดีกับใคร มันยิ่งทำให้สถานการณ์ยุ่งยากขึ้นอีก
คำว่า complicate
คำนี้มีคำคุณศัพท์ว่า complicated ที่ซับซ้อนที่ยุ่งยาก
Psychology is a complicated subject.
= จิตวิทยาเป็นเรื่องที่ซับซ้อนยุ่งยาก
คำนี้เมื่อใช้เป็นคำนามหมายถึง โรคแทรกซ้อน ในเชิงการแพทย์ เวลาหมอเขาพูดกัน ได้ยินบ่อยๆว่า คนไข่ส่วนใหญ่ตายเพราะโรคแทรกซ้อน
If there are no complications, the doctor says that she'll be able to come home within two weeks.
= ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน หมอบอกว่าหล่อนสามารถกลับบ้านได้ภายในสองอาทิตย์
คำว่า to meet up = มาเจอกันเพื่อทำกิจกรรมร่วมกับ ซึ่งคือการนัดมาทำกิจกรรมนั่นเอง เช่น Let’s meet up and get something to eat! เรามาเจอกันไปหาอะไรทานกันเถอะ แต่ถ้าเป็น meet ก็คือ พบธรรมดา เช่น I want to meet you at 2 pm. ฉันอยากเจอคุณตอนบ่าย 2
คิดถึงใคร ก็โทรหา
อยากเจอใคร ก็เชิญมา
อยากให้คนเข้าใจ ก็อธิบายไป
มีปัญหา ก็ถาม
ไม่ชอบอะไร ก็บอกไป
ชอบอะไร ระบุไปเลย
อยากได้อะไร ก็ขอ
รักใคร ก็บอกไป
เรามีเพียงชีวิตเดียว
ทำชีวิตให้มันเรียบง่าย
สำนวน
Life is simple; man complicates it.
= ชีวิตเรียบง่าย คนเราทำให้ยุ่งยาก
Don’t come if you don’t want to complicate the problem.
= อย่ามา ถ้าไม่อยากทำให้เรื่องมันยุ่งมากขึ้นไปอีก
To complicate matters further, you mustn’t tell them the truth.
= เพื่อที่จะทำให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้นไปอีก ก็ห้ามบอกความจริงกับพวกเขา
Fighting doesn’t do good to anyone ; it complicates the situation.
= การทะเลาะกันไม่ได้ส่งผลดีกับใคร มันยิ่งทำให้สถานการณ์ยุ่งยากขึ้นอีก
คำว่า complicate
คำนี้มีคำคุณศัพท์ว่า complicated ที่ซับซ้อนที่ยุ่งยาก
Psychology is a complicated subject.
= จิตวิทยาเป็นเรื่องที่ซับซ้อนยุ่งยาก
คำนี้เมื่อใช้เป็นคำนามหมายถึง โรคแทรกซ้อน ในเชิงการแพทย์ เวลาหมอเขาพูดกัน ได้ยินบ่อยๆว่า คนไข่ส่วนใหญ่ตายเพราะโรคแทรกซ้อน
If there are no complications, the doctor says that she'll be able to come home within two weeks.
= ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน หมอบอกว่าหล่อนสามารถกลับบ้านได้ภายในสองอาทิตย์
คำว่า to meet up = มาเจอกันเพื่อทำกิจกรรมร่วมกับ ซึ่งคือการนัดมาทำกิจกรรมนั่นเอง เช่น Let’s meet up and get something to eat! เรามาเจอกันไปหาอะไรทานกันเถอะ แต่ถ้าเป็น meet ก็คือ พบธรรมดา เช่น I want to meet you at 2 pm. ฉันอยากเจอคุณตอนบ่าย 2
โครงสร้างประโยค (ต่อ)
ส่วนนี้เป็นการเขียนเปรียบเทียบคำนามโดยใช้โครงสร้าง
ประธาน 1 + กริยา + as many + คำนามนับได้พหูพจน์ + as ประธาน 2
As much + คำนามนับไม่ได้ + ประธาน 2
ตัวอย่าง
I have as much money as my friend. = ฉันมีเงินมากพอๆกับเพื่อน...
My room has as many TVs as his room. = ห้องนอนฉันมีทีวีมากพอๆกับห้องนอนเขา
ประธาน 1 + กริยา + as many + คำนามนับได้พหูพจน์ + as ประธาน 2
As much + คำนามนับไม่ได้ + ประธาน 2
ตัวอย่าง
I have as much money as my friend. = ฉันมีเงินมากพอๆกับเพื่อน...
My room has as many TVs as his room. = ห้องนอนฉันมีทีวีมากพอๆกับห้องนอนเขา
แบบฝึกหัด จงแปลประโยคต่อไปนี้เป็นภาษาอังกฤษ
1. ตำรวจคนนี้จับขโมยได้มากเท่ากับตำรวจคนนั้น
2. บ้านหลังนี้มีห้องนอนมากเท่ากับบ้านหลังนั้น
3. หมอคนนี้รักษาคนไข้ได้มากเท่ากับหมอคนนั้น
4. โรงพยาบาลนี้สามารถรองรับคนไข้ได้มากเท่ากับโรงพยาบาลนั้น
5. อาจารย์แนะแนวคนนี้สามารถสอนนักเรียนได้มากเท่ากับอาจารย์แนะแนวคนนั้น
6. เพื่อนของฉันสามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายได้มากเท่ากับเพื่อนของเขา
7. ภูเก็ตมีชายหาดมากเท่ากับพัทยา
8. ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวมากเท่ากับประเทศฝรั่งเศส
9. เขาซื้อเสื้อยืดมากเท่ากับพี่ชายของเขา
10. เขามีเงินมากพอๆกับหล่อน
11. หล่อนกินข้าวมากพอๆกับน้องชายฉัน
12. สระว่ายน้ำแห่งนี้มีน้ำมากพอๆกับสระว่ายน้ำแห่งนั้น
13. วันนี้ มีฝนมากเท่ากับเมื่อวานนี้
14. ถังขยะนี้มีขยะมากเท่ากับถังใบโน้น
15. เพื่อนฉันดื่มเหล้ามากพอๆกับน้องชายฉัน
16. ฉันมีกระดาษมากเท่าหล่อน
17. ปั๊มน้ำมันแห่งนี้มีน้ำมันพอๆกับปั๊มนั้น
18. ฉันดื่มนมมากเท่าพ่อ
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
เฉลย
1. This policeman catches as many thieves as that policeman.
2. This house has as many bedrooms as that house.
3. This doctor can treat as many patients as that doctor.
4. This hospital can accommodate as many patients as that hospital.
5. This instructor can teach as many students as that instructor.
6. My friend can do as many assignments as his friend.
7. Phuket has as many beaches as Pattaya.
8. Thailand has as many tourists as France.
9. He buys as many T-shirts as his brother.
10. He has as much money as she.
11. She eats as much rice as my brother.
12. This swimming pool has as much water as that one.
13. Today has as much rain as yesterday.
14. This trash bin has as much garbage as that one.
15. My friend drinks as much alcohol as my brother.
16. I have as much paper as she.
17. This gas station has as much gas as that one.
18. I drink as much milk as my dad.
1. ตำรวจคนนี้จับขโมยได้มากเท่ากับตำรวจคนนั้น
2. บ้านหลังนี้มีห้องนอนมากเท่ากับบ้านหลังนั้น
3. หมอคนนี้รักษาคนไข้ได้มากเท่ากับหมอคนนั้น
4. โรงพยาบาลนี้สามารถรองรับคนไข้ได้มากเท่ากับโรงพยาบาลนั้น
5. อาจารย์แนะแนวคนนี้สามารถสอนนักเรียนได้มากเท่ากับอาจารย์แนะแนวคนนั้น
6. เพื่อนของฉันสามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายได้มากเท่ากับเพื่อนของเขา
7. ภูเก็ตมีชายหาดมากเท่ากับพัทยา
8. ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวมากเท่ากับประเทศฝรั่งเศส
9. เขาซื้อเสื้อยืดมากเท่ากับพี่ชายของเขา
10. เขามีเงินมากพอๆกับหล่อน
11. หล่อนกินข้าวมากพอๆกับน้องชายฉัน
12. สระว่ายน้ำแห่งนี้มีน้ำมากพอๆกับสระว่ายน้ำแห่งนั้น
13. วันนี้ มีฝนมากเท่ากับเมื่อวานนี้
14. ถังขยะนี้มีขยะมากเท่ากับถังใบโน้น
15. เพื่อนฉันดื่มเหล้ามากพอๆกับน้องชายฉัน
16. ฉันมีกระดาษมากเท่าหล่อน
17. ปั๊มน้ำมันแห่งนี้มีน้ำมันพอๆกับปั๊มนั้น
18. ฉันดื่มนมมากเท่าพ่อ
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
เฉลย
1. This policeman catches as many thieves as that policeman.
2. This house has as many bedrooms as that house.
3. This doctor can treat as many patients as that doctor.
4. This hospital can accommodate as many patients as that hospital.
5. This instructor can teach as many students as that instructor.
6. My friend can do as many assignments as his friend.
7. Phuket has as many beaches as Pattaya.
8. Thailand has as many tourists as France.
9. He buys as many T-shirts as his brother.
10. He has as much money as she.
11. She eats as much rice as my brother.
12. This swimming pool has as much water as that one.
13. Today has as much rain as yesterday.
14. This trash bin has as much garbage as that one.
15. My friend drinks as much alcohol as my brother.
16. I have as much paper as she.
17. This gas station has as much gas as that one.
18. I drink as much milk as my dad.
Live a good
Live a good, honorable life.
Then when you get older
and think back,
you’ll be able to enjoy it
a second time....
จงใช้ชีวิตให้ดีและมีเกียรติ์
เมื่อเราแก่ตัวลงและคิดย้อนหลัง
จะได้สามารถมีความสุขได้อีกครั้ง
Then when you get older
and think back,
you’ll be able to enjoy it
a second time....
จงใช้ชีวิตให้ดีและมีเกียรติ์
เมื่อเราแก่ตัวลงและคิดย้อนหลัง
จะได้สามารถมีความสุขได้อีกครั้ง
ใช้ชีวิต ให้ดี และมีเกียรติ
อย่าได้เฉียด สิ่งเลวทราม ตามใครเขา
ใช้ชีวิต ให้คุ้มค่า ในแบบเรา
ยามแก่เฒ่า คนอื่นเขา ได้ชื่นชม
ศัพท์สำนวน
To live a good life = มีชีวิตที่ดี
โครงสร้าง to live a ……life เราสามารถนำเอาคำคุณศัพท์มาเติมลงในช่องว่างได้ เช่น
She lives a miserable life.
= หล่อนมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน
He lives an unhappy life.
= เขามีชีวิตที่ไม่มีความสุข
และในคำกลอน ก็คือ to live an honorable life = มีชีวิตที่มีเกียรติ
สำนวน to think back = คิดย้อนกลับมา
สำนวน to be able to enjoy it a second time
= สามารถสนุกหรือเพลิดเพลินกับมันได้อีกครั้ง (เป็นครั้งที่สอง)
อย่าได้เฉียด สิ่งเลวทราม ตามใครเขา
ใช้ชีวิต ให้คุ้มค่า ในแบบเรา
ยามแก่เฒ่า คนอื่นเขา ได้ชื่นชม
ศัพท์สำนวน
To live a good life = มีชีวิตที่ดี
โครงสร้าง to live a ……life เราสามารถนำเอาคำคุณศัพท์มาเติมลงในช่องว่างได้ เช่น
She lives a miserable life.
= หล่อนมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน
He lives an unhappy life.
= เขามีชีวิตที่ไม่มีความสุข
และในคำกลอน ก็คือ to live an honorable life = มีชีวิตที่มีเกียรติ
สำนวน to think back = คิดย้อนกลับมา
สำนวน to be able to enjoy it a second time
= สามารถสนุกหรือเพลิดเพลินกับมันได้อีกครั้ง (เป็นครั้งที่สอง)
แปลประโยค
แบบฝึกหัด จงเปลี่ยนประโยคต่อไปนี้เป็นปฏิเสธแล้วก็แปล
1. My brother drinks as much milk as I.
2. Dad drinks as much coffee as mom.
3. We have as much money as they.
4. He orders as much food as she....
5. She eats as much ice-cream as he.
6. This house has as much furniture as the other one.
7. This street has as much light as the other one.
8. I have as much bread as you.
9. Big C has as much alcohol as Lotus.
10. This dam has as much water as the other dam.
………………………………………………..
จงเปลี่ยนประโยคข้างบนเป็นประโยคปฏิเสธ
1. My brother doesn’t drink as much milk as I.
น้องชายของฉันดื่มนมไม่มากเท่ากับฉัน
2. Dad doesn’t drink as much coffee as mom.
พ่อดื่มกาแฟไม่มากเท่ากับแม่
3. We don’t have as much money as they.
พวกเรามีเงินไม่มากเท่ากับพวกเขา
4. He doesn’t order as much food as she.
เขาสั่งอาหารไม่มากเท่าหล่อน
5. She doesn’t eat as much ice-cream as he.
หล่อนกินไอศกรีมไม่มากเท่ากับเขา
6. This house doesn’t have as much furniture as the other one.
บ้านหลังนี้มีเฟอร์นิเจอร์ไม่มากเท่ากับบ้านหลังอื่น
7. This street doesn’t have as much light as the other one.
ถนนสายนี้มีไฟไม่มากเท่ากับถนนสายอื่น
8. I don’t have as much bread as you.
ฉันไม่มีขนมปังมากเท่าคุณ
9. Big C doesn’t have as much alcohol as Lotus.
บิ๊กซีมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่มากเท่าโลตัส
10. This dam doesn’t have as much water as the other dam.
เขื่อนนี้มีน้ำไม่มากเท่าเขื่อนอื่น
1. My brother drinks as much milk as I.
2. Dad drinks as much coffee as mom.
3. We have as much money as they.
4. He orders as much food as she....
5. She eats as much ice-cream as he.
6. This house has as much furniture as the other one.
7. This street has as much light as the other one.
8. I have as much bread as you.
9. Big C has as much alcohol as Lotus.
10. This dam has as much water as the other dam.
………………………………………………..
จงเปลี่ยนประโยคข้างบนเป็นประโยคปฏิเสธ
1. My brother doesn’t drink as much milk as I.
น้องชายของฉันดื่มนมไม่มากเท่ากับฉัน
2. Dad doesn’t drink as much coffee as mom.
พ่อดื่มกาแฟไม่มากเท่ากับแม่
3. We don’t have as much money as they.
พวกเรามีเงินไม่มากเท่ากับพวกเขา
4. He doesn’t order as much food as she.
เขาสั่งอาหารไม่มากเท่าหล่อน
5. She doesn’t eat as much ice-cream as he.
หล่อนกินไอศกรีมไม่มากเท่ากับเขา
6. This house doesn’t have as much furniture as the other one.
บ้านหลังนี้มีเฟอร์นิเจอร์ไม่มากเท่ากับบ้านหลังอื่น
7. This street doesn’t have as much light as the other one.
ถนนสายนี้มีไฟไม่มากเท่ากับถนนสายอื่น
8. I don’t have as much bread as you.
ฉันไม่มีขนมปังมากเท่าคุณ
9. Big C doesn’t have as much alcohol as Lotus.
บิ๊กซีมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่มากเท่าโลตัส
10. This dam doesn’t have as much water as the other dam.
เขื่อนนี้มีน้ำไม่มากเท่าเขื่อนอื่น
เสริมเขี้ยวเล็บ
การที่เราจะสามารถฝึกพูดภาษาอังกฤษให้ได้นั้น ก็อย่างที่บอก เราจำเป็นต้องเสริมเขี้ยวเล็บของเราเองซะก่อน การเสริมเขี้ยวเล็บก็คือ การหาหนังสือ ตำรับตำราอ่านมันเข้าไป แล้ว ก็นำเอาสิ่งที่อ่านนั้นไปชวนฝรั่งเขาจ้อ แบบนี้แหละ ภาษาของเราก็จะพัฒนาแบบไม่เกรงใจใคร สิ่งที่ต้องคำนึงต่อมาก็คือ เราจะชวนเขาคุยเรื่องอะไรนี่ซิมันเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเราก็ต้องสุ่มถามไปเรื่อยๆ ในโลกเรานั้นมีเรื่องอะไรมากมายนักที่เราจะสามารถหยิบยกมาถามกัน เพราะตั้งแต่เราเกิดมา เราทำอะไรกันบ้าง ตั้งแต่เรื่องง่ายๆ ปัญญาอ่อนจนไปถึงเรื่องยากๆ แบบพวกการเมือง เศรษฐกิจ การฆ่ากัน ยันเรื่องบันเทิงเริงใจ เรียกว่า มนุษย์เราไม่มีเรื่องไหนที่คุยไม่ได้ เพียงแค่ว่า จะคุยกันไหม และจะคุยถูกคอไหม ถ้าไม่ถูกคอก็จะถูกอย่างอื่นเป็นของแถมตามมา วันนี้ จะพามาดูเรื่องกีฬากัน เผื่อว่า คนไหนจะนำเอาไปใช้ได้กับชีวิตตัวเอง
เรามาเริ่มด้วยคำถามแบบง่ายๆกัน ก็จะอะไรซะอีกเล่า หากเราต้องการจะชวนฝรั่งเขาคุยหลังจากที่รู้จักเสียงเรียงนามกันแล้ว (ห้ามพูดคุยเรื่องศาสนา ความเชื่อ อายุ สถานภาพเด็ดขาด) เราก็ต้องเริ่มแบบเรียบๆเคียงๆ ด้วยคำถามประเภท
1. Do you play sports? นี่เล่นกีฬาหรือเปล่า
และเชื่อเถอะว่า ร้อยทั้งร้อยก็ต้องตอบว่า Yes (แม้แต่คนพิการเขายังเล่นกีฬาเลย)
จากนั้นคำถามต่อไป ก็คือ แล้วกีฬาที่เล่นนั้นคือกีฬาอะไร
2. What sports do you play?
คำตอบก็คือ football, basketball, volleyball และอื่นๆอีก อาจจะตอบแบบคำเดียวหรือแบบเต็มยศก็ได้ เช่น
I like to play football. เห็นไหมว่า มันสามารถตอบได้ตั้งหลายแบบ (แต่ขอให้ตอบก็แล้วกัน นี่คือสิ่งสำคัญ
นี่คือ วิธีการชวนฝรั่งคุย แต่เชื่อไหมว่า คำถามนั้นมีมากมาย และก็ไม่มีใครรู้หรอกว่า ใครปิ๊งเอาคำถามใด แต่เอาเถอะ จะรวบรวมเอาคำถามที่คิดว่าน่าจะถามกันได้เพื่อทำให้การสนทนานั้นดำเนินต่อไปอย่างเมามันส์
คำถาม: Are you good at….ชื่อของกีฬาที่เล่น?
= คุณเล่นกีฬานั้นเก่งหรือเปล่า เช่น Are you good at football? เป็นต้น
คำถามอื่นๆที่น่าจะรู้และสามารถนำไปถามต่อได้คือ
Q: How often do you play it? เล่นบ่อยไหม
A: once a week = อาทิตย์ละครั้ง
Every day ทุกวัน once on a while = นานๆครั้ง
Not so often = ไม่บ่อยมาก
Q: When did you start playing it?= เริ่มเล่นตั้งแต่เมื่อไร
A: Since I was 5. ตั้งแต่อายุ (เท่าไรก็ว่ากันไป)
หรือจะใช้คำตอบแบบเหมารวมก็นี่ Since I was a child. ตั้งแต่เด็กเลย ส่วน วัยรุ่นก็ Since I was a teenager. แต่ส่วนใหญ่แล้วบอกอายุไปเถอะง่ายดี
Q: How long have you been playing it? = เล่นมานานแค่ไหนแล้ว
A: For five years. ก็เล่นมาห้าปี
ใช้โครงสร้าง For + จำนวนปีไปก็ได้
Q: Have you ever played …..ชื่อของกีฬาประเภทอื่น หมายถึง คุณเคยเล่นกีฬาอย่างที่ว่าไหม เช่น Have you ever played golf? = เคยเล่นก๊อลฝไหม
A: Yes. เคย หากไม่เคยก็ No หรือ Never ไม่ต้องคิดอะไรให้ปวดหมอง
Q: Have you ever tried it? หมายถึง คุณเคนลองเล่นมันไหม
A: ตอบเหมือนข้างบน
Q: What sports are you good at? = คุณเล่นกีฬาอะไรเก่งบ้าง
A: Football, chess, ฟุตบอล หมากรุก หรืออะไรก็ใส่มันลงไปตามแต่จะโม้
Q: Are you a member of the team? = เป็นหนึ่งในทีมผู้เล่นหรือเปล่า (เรียกว่าเล่นเก่งขนาดมีคนเชิญไปเล่นหรือเปล่า หรือเก่งแต่ปาก)
A: Yes. I am on a school team. แน่นอน ตอนนี้ก็เล่นให้กับโรงเรียนอยู่ แต่หากไม่เก่งขนาดนั้นก็บอกไปว่า I play for fun/ health. ฉันกะเล่นเพื่อความสนุกสนานหรือ เพื่อสุขภาพ ก็ว่ากันไป หรือจะบอกว่า I like watching. = ฉันชอบดู(อันนี้ก็สุดแล้วแต่ท่านแล้วกันนะ)
Q: Are you a professional? เป็นมืออาชีพหรือเปล่า
A: Yes./ No. Just an amateur. เป็น ไม่ แค่มือสมัครเล่น
Q: Do you play it for fun? เล่นเพื่อความมันส์
Q: Do you play it for health.? เล่นเพื่อสุขภาพใช่เปล่า
Q: Do you practice it very often? = ฝึกฝนบ่อยไหม
Q: Do you like watching sports on TV or watching it live? = ชอบดูกีฬาทางทีวีหรือดูแบบสดๆ (ในสนามเลย)
A: I like watching it live because it is more exciting. ฉันชอบดูแบบสดๆเพราะมันตื่นเต้นกว่า (ตัดตอนมาจากหนังสือ ชวนฝรั่งเม้าท์แตก)
เรามาเริ่มด้วยคำถามแบบง่ายๆกัน ก็จะอะไรซะอีกเล่า หากเราต้องการจะชวนฝรั่งเขาคุยหลังจากที่รู้จักเสียงเรียงนามกันแล้ว (ห้ามพูดคุยเรื่องศาสนา ความเชื่อ อายุ สถานภาพเด็ดขาด) เราก็ต้องเริ่มแบบเรียบๆเคียงๆ ด้วยคำถามประเภท
1. Do you play sports? นี่เล่นกีฬาหรือเปล่า
และเชื่อเถอะว่า ร้อยทั้งร้อยก็ต้องตอบว่า Yes (แม้แต่คนพิการเขายังเล่นกีฬาเลย)
จากนั้นคำถามต่อไป ก็คือ แล้วกีฬาที่เล่นนั้นคือกีฬาอะไร
2. What sports do you play?
คำตอบก็คือ football, basketball, volleyball และอื่นๆอีก อาจจะตอบแบบคำเดียวหรือแบบเต็มยศก็ได้ เช่น
I like to play football. เห็นไหมว่า มันสามารถตอบได้ตั้งหลายแบบ (แต่ขอให้ตอบก็แล้วกัน นี่คือสิ่งสำคัญ
นี่คือ วิธีการชวนฝรั่งคุย แต่เชื่อไหมว่า คำถามนั้นมีมากมาย และก็ไม่มีใครรู้หรอกว่า ใครปิ๊งเอาคำถามใด แต่เอาเถอะ จะรวบรวมเอาคำถามที่คิดว่าน่าจะถามกันได้เพื่อทำให้การสนทนานั้นดำเนินต่อไปอย่างเมามันส์
คำถาม: Are you good at….ชื่อของกีฬาที่เล่น?
= คุณเล่นกีฬานั้นเก่งหรือเปล่า เช่น Are you good at football? เป็นต้น
คำถามอื่นๆที่น่าจะรู้และสามารถนำไปถามต่อได้คือ
Q: How often do you play it? เล่นบ่อยไหม
A: once a week = อาทิตย์ละครั้ง
Every day ทุกวัน once on a while = นานๆครั้ง
Not so often = ไม่บ่อยมาก
Q: When did you start playing it?= เริ่มเล่นตั้งแต่เมื่อไร
A: Since I was 5. ตั้งแต่อายุ (เท่าไรก็ว่ากันไป)
หรือจะใช้คำตอบแบบเหมารวมก็นี่ Since I was a child. ตั้งแต่เด็กเลย ส่วน วัยรุ่นก็ Since I was a teenager. แต่ส่วนใหญ่แล้วบอกอายุไปเถอะง่ายดี
Q: How long have you been playing it? = เล่นมานานแค่ไหนแล้ว
A: For five years. ก็เล่นมาห้าปี
ใช้โครงสร้าง For + จำนวนปีไปก็ได้
Q: Have you ever played …..ชื่อของกีฬาประเภทอื่น หมายถึง คุณเคยเล่นกีฬาอย่างที่ว่าไหม เช่น Have you ever played golf? = เคยเล่นก๊อลฝไหม
A: Yes. เคย หากไม่เคยก็ No หรือ Never ไม่ต้องคิดอะไรให้ปวดหมอง
Q: Have you ever tried it? หมายถึง คุณเคนลองเล่นมันไหม
A: ตอบเหมือนข้างบน
Q: What sports are you good at? = คุณเล่นกีฬาอะไรเก่งบ้าง
A: Football, chess, ฟุตบอล หมากรุก หรืออะไรก็ใส่มันลงไปตามแต่จะโม้
Q: Are you a member of the team? = เป็นหนึ่งในทีมผู้เล่นหรือเปล่า (เรียกว่าเล่นเก่งขนาดมีคนเชิญไปเล่นหรือเปล่า หรือเก่งแต่ปาก)
A: Yes. I am on a school team. แน่นอน ตอนนี้ก็เล่นให้กับโรงเรียนอยู่ แต่หากไม่เก่งขนาดนั้นก็บอกไปว่า I play for fun/ health. ฉันกะเล่นเพื่อความสนุกสนานหรือ เพื่อสุขภาพ ก็ว่ากันไป หรือจะบอกว่า I like watching. = ฉันชอบดู(อันนี้ก็สุดแล้วแต่ท่านแล้วกันนะ)
Q: Are you a professional? เป็นมืออาชีพหรือเปล่า
A: Yes./ No. Just an amateur. เป็น ไม่ แค่มือสมัครเล่น
Q: Do you play it for fun? เล่นเพื่อความมันส์
Q: Do you play it for health.? เล่นเพื่อสุขภาพใช่เปล่า
Q: Do you practice it very often? = ฝึกฝนบ่อยไหม
Q: Do you like watching sports on TV or watching it live? = ชอบดูกีฬาทางทีวีหรือดูแบบสดๆ (ในสนามเลย)
A: I like watching it live because it is more exciting. ฉันชอบดูแบบสดๆเพราะมันตื่นเต้นกว่า (ตัดตอนมาจากหนังสือ ชวนฝรั่งเม้าท์แตก)
Don’t be a stranger!
Don’t be a stranger!
ความหมายของเขาก็คือ อย่ากลายเป็นคนแปลกหน้าไปซะล่ะ สำนวนนี้ใช้เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดกำลังจะจากไป แล้วฝ่ายหนึ่งต้องการให้อีกฝ่ายหนึ่งกลับมาหาโดยเร็ววัน เรียกว่า อย่าไปแบบกู่ไม่กลับหรือไปแล้วไปลับ ไม่เห็นหน้า หรือจำหน้ากันไม่ได้ กลายเป็นคนแปลกหน้ากันไปซะยังงั้น และอีกสำนวนหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ Hello, stranger.เอาไว้ใช้ตอนที่คนหนึ่งคนใดจากกันไปนานแสนนาน เรียกว่าไม่เจอกันนมนานจนกลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้วนั่นเอง สำนวนพวกนี้ เขาเอาไว้ใช้ทักทายแซวกันเพื่อให้เกิดรสออก...ชาติในการทักทายกัน และคำว่า stranger นี้เองก็ยังสามารถเอาไปใช้กับสำนวน to be no stranger to สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งก็จะหมายถึง คนๆนั้นมีประสบการณ์ในสิ่งนั้นๆมากจนไม่เป็นสิ่งที่แปลกหน้าหรือไม่คุ้นอีกต่อไป เช่น i am no stranger to love. ก็จะหมายความว่า คุณรู้จักความรักเป็นอย่างดี (ไม่เป็นคนแปบกหน้ากับความรัก) หรือ I am no stranger to controversy. = ฉันมีประสบการณ์มากกับเรื่องความขัดแย้ง เรียกได้ว่า ไม่กลัวมันอีกต่อไป (เหมือนเป็นคนที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ยังไงยังงั้น) และหากมีใครมาถามคุณหรือคุณไปถามใครแล้วเจอคำตอบว่า I’m a stranger here. นั่นก็หมายความว่า ฉันเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลยที่นี่ หรือจะแปลให้ตรงๆก็คือ ที่นี่นั้น ฉันเป็นคนแปลกหน้าเช่น A: Excuse me! Can you tell me how to get to the airport? ช่วยบอกหน่อยนะว่าสนามบินไปทางใด
B: Sorry! I am a stranger here. ซึ่งก็จะมีความหมายว่า I don’t know. นั่นเอง
ความหมายของเขาก็คือ อย่ากลายเป็นคนแปลกหน้าไปซะล่ะ สำนวนนี้ใช้เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดกำลังจะจากไป แล้วฝ่ายหนึ่งต้องการให้อีกฝ่ายหนึ่งกลับมาหาโดยเร็ววัน เรียกว่า อย่าไปแบบกู่ไม่กลับหรือไปแล้วไปลับ ไม่เห็นหน้า หรือจำหน้ากันไม่ได้ กลายเป็นคนแปลกหน้ากันไปซะยังงั้น และอีกสำนวนหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ Hello, stranger.เอาไว้ใช้ตอนที่คนหนึ่งคนใดจากกันไปนานแสนนาน เรียกว่าไม่เจอกันนมนานจนกลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้วนั่นเอง สำนวนพวกนี้ เขาเอาไว้ใช้ทักทายแซวกันเพื่อให้เกิดรสออก...ชาติในการทักทายกัน และคำว่า stranger นี้เองก็ยังสามารถเอาไปใช้กับสำนวน to be no stranger to สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งก็จะหมายถึง คนๆนั้นมีประสบการณ์ในสิ่งนั้นๆมากจนไม่เป็นสิ่งที่แปลกหน้าหรือไม่คุ้นอีกต่อไป เช่น i am no stranger to love. ก็จะหมายความว่า คุณรู้จักความรักเป็นอย่างดี (ไม่เป็นคนแปบกหน้ากับความรัก) หรือ I am no stranger to controversy. = ฉันมีประสบการณ์มากกับเรื่องความขัดแย้ง เรียกได้ว่า ไม่กลัวมันอีกต่อไป (เหมือนเป็นคนที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ยังไงยังงั้น) และหากมีใครมาถามคุณหรือคุณไปถามใครแล้วเจอคำตอบว่า I’m a stranger here. นั่นก็หมายความว่า ฉันเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลยที่นี่ หรือจะแปลให้ตรงๆก็คือ ที่นี่นั้น ฉันเป็นคนแปลกหน้าเช่น A: Excuse me! Can you tell me how to get to the airport? ช่วยบอกหน่อยนะว่าสนามบินไปทางใด
B: Sorry! I am a stranger here. ซึ่งก็จะมีความหมายว่า I don’t know. นั่นเอง
Great Insight
ถ้าใจใสแล้ว....
แม้อยู่โดดเดี่ยว ก็ไม่เดียวกาย
อยู่ที่วิเวก ก็ไม่วังเวง
อยู่ที่วุ่นวาย ก็ไม่วอกแวก
ถูกกระแทก ก็ไม่กระทั้น...
ถูกกระทบ ก็ไม่กระเทือน
แม้อยู่โดดเดี่ยว ก็ไม่เดียวกาย
อยู่ที่วิเวก ก็ไม่วังเวง
อยู่ที่วุ่นวาย ก็ไม่วอกแวก
ถูกกระแทก ก็ไม่กระทั้น...
ถูกกระทบ ก็ไม่กระเทือน
อาหารการกินตอนจบ
อาหารการกินตอนจบ
ข้าวจ้าว rice
ข้าวจ้าวที่ฟู ขึ้นหม้อ fluffy rice
หอม It smells good. อร่อย It is delicious.
ข้าวเหนียว glutinous rice...
ข้าวหมาก fermented rice
ข้าวตัง rice-pot crust
ข้างลาดแกง rice with dishes on top
ข้าวคั่ว ground pan-roasted rice
ข้าวจ้าว rice
ข้าวจ้าวที่ฟู ขึ้นหม้อ fluffy rice
หอม It smells good. อร่อย It is delicious.
ข้าวเหนียว glutinous rice...
ข้าวหมาก fermented rice
ข้าวตัง rice-pot crust
ข้างลาดแกง rice with dishes on top
ข้าวคั่ว ground pan-roasted rice
แป้ง
แป้งข้าวเจ้า rice flour
แป้วข้าวเหนียว glutinous rice
แป้งข้างโพด corn flour
แป้งสาลี wheat flour
แป้งสาคู tapioca flour
วิธีบรรยายว่า แป้งนั้นทำมาจากอะไร สามารถทำได้โดยการใช้สำนวนว่า This flour is made from…..rice, glutinous rice, corn, wheat, tapioca.
สาคูเม็ด tapioca pellets
อาหารประเภทก๋วยเตี๋ยว
เส้นก๋วยเตี๋ยว rice noodles
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ wide rice noodles
เส้นเล็ก small rice noodles
ขนมจีน vermicelli
บะหมี่ egg noodles
วุ้นเส้น mungbean noodles
น้ำตาล
น้ำตาลทราย refined sugar
น้ำตาลกรวด granulated sugar
น้ำตาลปี๊บ palm sugar
เครื่องปรุง
น้ำปลา fish sauce
น้ำมันหอย oyster sauce
ปลาเค็ม salted fish
ปลาแห้ง dried fish
กะปิ shrimp paste
กุ้งแห้ง dried shrimp
ปลาน้ำจืด fresh water fish
ปลาทะเล sea fish
ปลาทู mackerel
ปลากะพง sea perch
ปลาเก๋า rod cod
ปลากราย featherback fish
หมูสามชั้น pork belly
หนังหมู pig skin
น้ำซุป chicken stock
ผลิตภัณฑ์ทำจากเต้าหู้
เต้าหู้ bean curd / tofu
เต้าหูอ่อน soft tofu / bean curd
เต้าหู้เหลือง yellow tofu / bean curd
เต้าเจี้ยว fermented soybeans
ซีอิ๊ว soy sauce
ซีอิ๊วขาว light soy sauce
ซีอิ๊วดำ dark soy sauce
ถั่วดำ black beans
ถั่วเขียว mungbeans
อบเชย cinnamon
ยี่หร่า cumin
พริกไทยเม็ด pepper
พริกไทยอ่อน green peppers
พริกไทยดำ ground black pepper
หอมแดง shallots
กระเทียมหัว garlic cloves
กระเทียมดอง pickled garlic
เมล็ดผักชี coriander seed
ขมิ้น turmeric
ข่า galangal
ขิง ginger
มะขามเปียก tamarind
ตะไคร้ lemon grass
มะนาว lime
พริกหยวก bell chili
พริกแห้งเล็ก small dried chilies
พริกแห้งใหญ่ big dried chilies
พริกป่น ground dried chilies
พริกขี้หนู hot chilies
ลูกมะกรูด kaffir-lime
ใบมะกรูด kaffir lime leaves
หอมหัวใหญ่ onion
ต้นหอม spring onion
ต้นกุ้ยช่าย Chinese chives
ใบขึ้นฉ่าย celery
ใบแมงลัก sweet basil
สะระแหน่ mint
ต้นกระเทียม garlic plant
ผักชี coriander green
ถั่วฝักยาว yard-long bean
ผักคะน้า kale
ข้าวโพดอ่อน baby corns
ถั่วงอก bean sprout
ถั่วพลู wing bean
มะพร้าว coconut
แตงกวา cucumber
ผักกาดหอม lettuce
ผักบุ้ง morning glory
มะเขือ eggplants
บวบ gourd
กะหล่ำปลี cabbage
หัวปลี banana blossom
แป้งข้าวเจ้า rice flour
แป้วข้าวเหนียว glutinous rice
แป้งข้างโพด corn flour
แป้งสาลี wheat flour
แป้งสาคู tapioca flour
วิธีบรรยายว่า แป้งนั้นทำมาจากอะไร สามารถทำได้โดยการใช้สำนวนว่า This flour is made from…..rice, glutinous rice, corn, wheat, tapioca.
สาคูเม็ด tapioca pellets
อาหารประเภทก๋วยเตี๋ยว
เส้นก๋วยเตี๋ยว rice noodles
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ wide rice noodles
เส้นเล็ก small rice noodles
ขนมจีน vermicelli
บะหมี่ egg noodles
วุ้นเส้น mungbean noodles
น้ำตาล
น้ำตาลทราย refined sugar
น้ำตาลกรวด granulated sugar
น้ำตาลปี๊บ palm sugar
เครื่องปรุง
น้ำปลา fish sauce
น้ำมันหอย oyster sauce
ปลาเค็ม salted fish
ปลาแห้ง dried fish
กะปิ shrimp paste
กุ้งแห้ง dried shrimp
ปลาน้ำจืด fresh water fish
ปลาทะเล sea fish
ปลาทู mackerel
ปลากะพง sea perch
ปลาเก๋า rod cod
ปลากราย featherback fish
หมูสามชั้น pork belly
หนังหมู pig skin
น้ำซุป chicken stock
ผลิตภัณฑ์ทำจากเต้าหู้
เต้าหู้ bean curd / tofu
เต้าหูอ่อน soft tofu / bean curd
เต้าหู้เหลือง yellow tofu / bean curd
เต้าเจี้ยว fermented soybeans
ซีอิ๊ว soy sauce
ซีอิ๊วขาว light soy sauce
ซีอิ๊วดำ dark soy sauce
ถั่วดำ black beans
ถั่วเขียว mungbeans
อบเชย cinnamon
ยี่หร่า cumin
พริกไทยเม็ด pepper
พริกไทยอ่อน green peppers
พริกไทยดำ ground black pepper
หอมแดง shallots
กระเทียมหัว garlic cloves
กระเทียมดอง pickled garlic
เมล็ดผักชี coriander seed
ขมิ้น turmeric
ข่า galangal
ขิง ginger
มะขามเปียก tamarind
ตะไคร้ lemon grass
มะนาว lime
พริกหยวก bell chili
พริกแห้งเล็ก small dried chilies
พริกแห้งใหญ่ big dried chilies
พริกป่น ground dried chilies
พริกขี้หนู hot chilies
ลูกมะกรูด kaffir-lime
ใบมะกรูด kaffir lime leaves
หอมหัวใหญ่ onion
ต้นหอม spring onion
ต้นกุ้ยช่าย Chinese chives
ใบขึ้นฉ่าย celery
ใบแมงลัก sweet basil
สะระแหน่ mint
ต้นกระเทียม garlic plant
ผักชี coriander green
ถั่วฝักยาว yard-long bean
ผักคะน้า kale
ข้าวโพดอ่อน baby corns
ถั่วงอก bean sprout
ถั่วพลู wing bean
มะพร้าว coconut
แตงกวา cucumber
ผักกาดหอม lettuce
ผักบุ้ง morning glory
มะเขือ eggplants
บวบ gourd
กะหล่ำปลี cabbage
หัวปลี banana blossom
ความงดงามของความรัก
ความงดงามของความรัก
หากถามว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งในชีวิตคืออะไร คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ความรักนั้นคือสิ่งจำเป็นของชีวิต เช่นเดียวกับอาหาร น้ำ อากาศ การที่คนสองคนสามารถเข้าใจกันและมีจุดหมายร่วมกัน การเดินทางบนเส้นทางที่เรียกว่า ชีวิต ก็คงจะเป็นเส้นทางที่งดงามแม้ระหว่างทางจะพบกับอุปสรรคมากมายเพียงใดก็ตาม ความเข้าใจและการให้อภัยอย่างไร้ซึ่งขอบเขตเป็นสิ่งวิเศษหากคนหนึ่งสามารถทำให้กับอีกคนได้ คงจะดีไม่น้อยหากเรามีใครสักคนไว้คอยเล่าทั้งทุกข์และสุข เป็นกำลังใจให้ในยามที่เ...ราท้อแท้เหนื่อยล้ากับชีวิต
ความรักที่จะได้อ่านกันต่อไปนี้ เป็นความรักที่อาจหมายถึง ความรักในฐานะคู่ครองหรือความรักของคนที่มีความคิดหรืออุดมการณ์ที่คล้ายคลึงกัน ความรักในลักษณะใดก็ตามที่เกิดขึ้นบนนิยามดั่งเช่นที่กล่าวมาแล้วนี้ ขอให้รู้ไว้เถอะว่า การเกิดมาของคนเราชาตินี้คุ้มค่าแล้วแม้จะไม่ได้มีเงินทองมากมายก็ตาม
From now on,
it’s where two hearts bind into one.
We’ll walk hand in hand
through the sun and the storm
Give each other the strength, faith
and fulfill our dreams.
Conquer all the troubles
and hardships
with true understanding
and forever forgiveness.
จากนี้ไป ที่หัวใจ เราทั้งสอง
ได้หล่อหลอม รวมกัน เป็นหนึ่งฝัน
ร่วมเดินไป ด้วยแรงใจ ที่ให้กัน
อย่างมุ่งมั่น บนเส้นทาง ที่ยาวไกล
จะจูงมือ พาเดินฝ่า พายุร้าย
ถึงอันตราย ก็ขอไป ให้ถึงฝัน
ความเข้าใจ พร้อมอภัย มีให้กัน
เพื่อผลักดัน ความฝัน ได้เป็นจริง
คำอธิบายเพิ่มเติม
สำนวนแรกคือ From now on ซึ่งหมายถึง จากนี้ไป หากผู้อ่านต้องการจะบรรยายว่า จากวันไหน ช่วงไหนเป็นต้นไป นั้นสามารถใช้สำนวน From + เวลาในช่วงนั้น เติมใส่ลงไปได้เลย เช่น from this month on = จากเดือนนี้เป็นต้นไป หรือตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ก็ใช้ว่า from tomorrow on เป็นต้น
ข้อความ it’s where two hearts bind into one หมายถึง ที่ที่ซึ่งหัวใจทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งเดียว สำนวนที่น่าจำคือ Two hearts bind into one. ก็หมายถึง สองใจรวมกันเป็นหนึ่ง
และสำนวน to walk hand in hand ก็หมายถึง ควงแขนเดินไปด้วยกัน ส่วนจับมือนั้น ใช้ว่า to hold hands
และข้อความที่มีความหมายบ่งบอกถึงความสุขและความทุกข์ ก็คือ through the sun and the storm คำว่า the sun นั้นเปรียบได้ดั่งเวลาที่ชีวิตคนเรามีความสุข ส่วนพายุนั้นเปรียบเหมือนช่วงเวลาที่คนเรามีความทุกข์ นั่นเอง และข้อความต่อมาก็คือ Give each other the strength ซึ่งหมายถึง ให้ความเข้มแข็งแก่กันและกัน คำว่า each other นั้นใช้สำหรับคนสองคน หมายถึง ซึ่งกันและกัน
ส่วนสำนวน to fulfill our dreams คือ ทำให้ฝันนั้นเป็นจริง หรือเติมเต็มฝันนั่นเอง คำว่า to fulfill + สิ่งใดก็ตาม หมายถึง เติมเต็มสิ่งนั้น เช่น
Visiting Japan has fulfilled my dream.
= การไปเที่ยวญี่ปุ่นเติมเต็มความฝันของฉัน
ส่วนข้อความต่อไปนี้ Conquer all the troubles and hardships with true understanding and forever forgiveness. เป็นข้อความที่มีความหมายมาก คำว่า
to conquer หมายถึง เอาชนะ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
คำว่า all the troubles and hardships หมายถึง ความเดือดร้อน และความทุกข์ใจทั้งหมดที่มี
ส่วนสำนวน with true understanding and forever forgiveness ก็หมายถึง ด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริงและการให้อภัยตลอดกาล
หากถามว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งในชีวิตคืออะไร คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ความรักนั้นคือสิ่งจำเป็นของชีวิต เช่นเดียวกับอาหาร น้ำ อากาศ การที่คนสองคนสามารถเข้าใจกันและมีจุดหมายร่วมกัน การเดินทางบนเส้นทางที่เรียกว่า ชีวิต ก็คงจะเป็นเส้นทางที่งดงามแม้ระหว่างทางจะพบกับอุปสรรคมากมายเพียงใดก็ตาม ความเข้าใจและการให้อภัยอย่างไร้ซึ่งขอบเขตเป็นสิ่งวิเศษหากคนหนึ่งสามารถทำให้กับอีกคนได้ คงจะดีไม่น้อยหากเรามีใครสักคนไว้คอยเล่าทั้งทุกข์และสุข เป็นกำลังใจให้ในยามที่เ...ราท้อแท้เหนื่อยล้ากับชีวิต
ความรักที่จะได้อ่านกันต่อไปนี้ เป็นความรักที่อาจหมายถึง ความรักในฐานะคู่ครองหรือความรักของคนที่มีความคิดหรืออุดมการณ์ที่คล้ายคลึงกัน ความรักในลักษณะใดก็ตามที่เกิดขึ้นบนนิยามดั่งเช่นที่กล่าวมาแล้วนี้ ขอให้รู้ไว้เถอะว่า การเกิดมาของคนเราชาตินี้คุ้มค่าแล้วแม้จะไม่ได้มีเงินทองมากมายก็ตาม
From now on,
it’s where two hearts bind into one.
We’ll walk hand in hand
through the sun and the storm
Give each other the strength, faith
and fulfill our dreams.
Conquer all the troubles
and hardships
with true understanding
and forever forgiveness.
จากนี้ไป ที่หัวใจ เราทั้งสอง
ได้หล่อหลอม รวมกัน เป็นหนึ่งฝัน
ร่วมเดินไป ด้วยแรงใจ ที่ให้กัน
อย่างมุ่งมั่น บนเส้นทาง ที่ยาวไกล
จะจูงมือ พาเดินฝ่า พายุร้าย
ถึงอันตราย ก็ขอไป ให้ถึงฝัน
ความเข้าใจ พร้อมอภัย มีให้กัน
เพื่อผลักดัน ความฝัน ได้เป็นจริง
คำอธิบายเพิ่มเติม
สำนวนแรกคือ From now on ซึ่งหมายถึง จากนี้ไป หากผู้อ่านต้องการจะบรรยายว่า จากวันไหน ช่วงไหนเป็นต้นไป นั้นสามารถใช้สำนวน From + เวลาในช่วงนั้น เติมใส่ลงไปได้เลย เช่น from this month on = จากเดือนนี้เป็นต้นไป หรือตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ก็ใช้ว่า from tomorrow on เป็นต้น
ข้อความ it’s where two hearts bind into one หมายถึง ที่ที่ซึ่งหัวใจทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งเดียว สำนวนที่น่าจำคือ Two hearts bind into one. ก็หมายถึง สองใจรวมกันเป็นหนึ่ง
และสำนวน to walk hand in hand ก็หมายถึง ควงแขนเดินไปด้วยกัน ส่วนจับมือนั้น ใช้ว่า to hold hands
และข้อความที่มีความหมายบ่งบอกถึงความสุขและความทุกข์ ก็คือ through the sun and the storm คำว่า the sun นั้นเปรียบได้ดั่งเวลาที่ชีวิตคนเรามีความสุข ส่วนพายุนั้นเปรียบเหมือนช่วงเวลาที่คนเรามีความทุกข์ นั่นเอง และข้อความต่อมาก็คือ Give each other the strength ซึ่งหมายถึง ให้ความเข้มแข็งแก่กันและกัน คำว่า each other นั้นใช้สำหรับคนสองคน หมายถึง ซึ่งกันและกัน
ส่วนสำนวน to fulfill our dreams คือ ทำให้ฝันนั้นเป็นจริง หรือเติมเต็มฝันนั่นเอง คำว่า to fulfill + สิ่งใดก็ตาม หมายถึง เติมเต็มสิ่งนั้น เช่น
Visiting Japan has fulfilled my dream.
= การไปเที่ยวญี่ปุ่นเติมเต็มความฝันของฉัน
ส่วนข้อความต่อไปนี้ Conquer all the troubles and hardships with true understanding and forever forgiveness. เป็นข้อความที่มีความหมายมาก คำว่า
to conquer หมายถึง เอาชนะ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
คำว่า all the troubles and hardships หมายถึง ความเดือดร้อน และความทุกข์ใจทั้งหมดที่มี
ส่วนสำนวน with true understanding and forever forgiveness ก็หมายถึง ด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริงและการให้อภัยตลอดกาล
ฝึกแปลประโยค
วันนี้ พาไปเปลี่ยนบรรยากาศ ลองฝึกแปลประโยคเหล่านี้ดู ถ้าแปลไม่ได้ ก็ไม่ต้องเครียดและไม่ต้องร้องไห้เพราะนี่ไม่ใช่การสอบแต่เป็นการเรียนรู้ครับ ท่านไหนที่ภาษาเลิศ ก็ข้ามไปครับ คนไหนที่ภาษาไม่ดี ก็เป็นโอกาสได้เรียนรู้แล้ว
1. เราต้องเข้าให้ถึงหัวใจของประเด็น
2. ชาวต่างชาติบางคนต้องการเข้าถึงหัวใจของวัฒนธรรมไทย
3 . อาจต้องใช้เวลาสักสองสามเดือนกว่าชีวิตในมหาวิทยาลัยจะเข้าที่เข้าทาง...
4. พ่อแม่ส่วนใหญ่อยากเห็นลูกสาวเป็นฝั่งเป็นฝา แต่งงาน และมีลูก
5. ช่วงนี้ ฉันวุ่นเหลือเกิน เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ฉันจะโทรไปหาเธอ
6. ฉันยังรู้สึกไม่เข้าที่เข้าทางกับงานฉันเลย
7. คนไทยจำนวนมากต้องการไปตั้งรกรากในอเมริกา
8. ฉันคิดว่าหล่อนเป็นคนที่เหมาะสมกับงานนี้
9.คุณทำแบบนั้นไม่ได้นะ มันไม่ถูกต้อง
10. ฉันก็เพียงแค่อยากจะทำสิ่งที่ถูกต้อง
11. ถูกต้องแล้วที่พ่อแม่ควรจะช่วยลูก
12. แม่พยายามสอนให้ลูกตัวเองรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก
13. คนจำนวนมากกำลังต่อสู้เพื่อสิทธิพื้นฐาน
14. ทุกคนควรมีสิทธิ์เสรีภาพในการแสดงออก
15. คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดกับฉันแบบนั้น
16. คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาห้องของฉันโดยไม่ได้รับอนุญาต
17. คุณต้องขออนุญาตก่อนถ่ายภาพในพิพิธภัณฑ์นี้
18. ทุกคนต้องได้รับอนุญาตจากหัวหน้าก่อนจะพูดกับสื่อ
19. บทความนี้ไม่สามารถนำไปทำสำเนาโดยไม่รับอนุญาตจากผู้เขียน
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
เฉลย
1. We must get to the heart of the issue.
คำว่า เข้าถึงแก่นของ เราใช้ว่า to get to the heart of…..
2.Some foreigners want to get to the heart of Thai culture.
3 . It might take a few months to settle into life at college.
4. Most parents would like to see their daughter settle down, get married and have kids.
5. I have been quite busy recently. When things settle down, I will give you a call.
6.I still don't feel settled in my job.
7.A lot of Thai people want to get settled in the US.
8.I think she is the right person for this job.
9. You can’t do that. It’s not right.
10. I only/ just want to do the right thing.
11. It’s right for parents to help their children.
12.Mom tries to teach her children the difference between right and wrong.
13.A lot of people are fighting for basic rights.
14.Everyone should have the right to freedom of expression.
15.You had no right to speak to me like that.
16. You have no right to come into my room without my permission.
17. You must ask permission before taking any photographs in this museum.
18. Everyone must obtain permission from the boss before talking to the press.
19. The article cannot be copied without the permission of the author.
1. เราต้องเข้าให้ถึงหัวใจของประเด็น
2. ชาวต่างชาติบางคนต้องการเข้าถึงหัวใจของวัฒนธรรมไทย
3 . อาจต้องใช้เวลาสักสองสามเดือนกว่าชีวิตในมหาวิทยาลัยจะเข้าที่เข้าทาง...
4. พ่อแม่ส่วนใหญ่อยากเห็นลูกสาวเป็นฝั่งเป็นฝา แต่งงาน และมีลูก
5. ช่วงนี้ ฉันวุ่นเหลือเกิน เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ฉันจะโทรไปหาเธอ
6. ฉันยังรู้สึกไม่เข้าที่เข้าทางกับงานฉันเลย
7. คนไทยจำนวนมากต้องการไปตั้งรกรากในอเมริกา
8. ฉันคิดว่าหล่อนเป็นคนที่เหมาะสมกับงานนี้
9.คุณทำแบบนั้นไม่ได้นะ มันไม่ถูกต้อง
10. ฉันก็เพียงแค่อยากจะทำสิ่งที่ถูกต้อง
11. ถูกต้องแล้วที่พ่อแม่ควรจะช่วยลูก
12. แม่พยายามสอนให้ลูกตัวเองรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก
13. คนจำนวนมากกำลังต่อสู้เพื่อสิทธิพื้นฐาน
14. ทุกคนควรมีสิทธิ์เสรีภาพในการแสดงออก
15. คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดกับฉันแบบนั้น
16. คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาห้องของฉันโดยไม่ได้รับอนุญาต
17. คุณต้องขออนุญาตก่อนถ่ายภาพในพิพิธภัณฑ์นี้
18. ทุกคนต้องได้รับอนุญาตจากหัวหน้าก่อนจะพูดกับสื่อ
19. บทความนี้ไม่สามารถนำไปทำสำเนาโดยไม่รับอนุญาตจากผู้เขียน
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
เฉลย
1. We must get to the heart of the issue.
คำว่า เข้าถึงแก่นของ เราใช้ว่า to get to the heart of…..
2.Some foreigners want to get to the heart of Thai culture.
3 . It might take a few months to settle into life at college.
4. Most parents would like to see their daughter settle down, get married and have kids.
5. I have been quite busy recently. When things settle down, I will give you a call.
6.I still don't feel settled in my job.
7.A lot of Thai people want to get settled in the US.
8.I think she is the right person for this job.
9. You can’t do that. It’s not right.
10. I only/ just want to do the right thing.
11. It’s right for parents to help their children.
12.Mom tries to teach her children the difference between right and wrong.
13.A lot of people are fighting for basic rights.
14.Everyone should have the right to freedom of expression.
15.You had no right to speak to me like that.
16. You have no right to come into my room without my permission.
17. You must ask permission before taking any photographs in this museum.
18. Everyone must obtain permission from the boss before talking to the press.
19. The article cannot be copied without the permission of the author.
You’ll never
You’ll never be brave if you don’t get hurt.
You’ll never learn if you don’t make mistakes.
You’ll never be successful if you don’t encounter failure.
คุณจะไม่มีวันกล้าหากคุณไม่เจ็บปวด...
คุณจะไม่มีวันเรียนรู้หากคุณไม่ทำผิด
คุณจะไม่มีวันประสบผลสำเร็จหากคุณไม่เจอกับความล้มเหลว
You’ll never learn if you don’t make mistakes.
You’ll never be successful if you don’t encounter failure.
คุณจะไม่มีวันกล้าหากคุณไม่เจ็บปวด...
คุณจะไม่มีวันเรียนรู้หากคุณไม่ทำผิด
คุณจะไม่มีวันประสบผลสำเร็จหากคุณไม่เจอกับความล้มเหลว
คนที่กล้า กล้าได้ เพราะเคยเจ็บ
ยิ่งไม่เข็ด ยิ่งแกร่ง ตามวิสัย
คนจะเก่ง เก่งได้ ที่จิตใจ
เรียนรู้ไป ความผิดพลาด ที่ผ่านมา
สำนวน
To get hurt = เจ็บปวด
He always gets hurt from what he says. = เขามักจะเจ็บปวดจากสิ่งที่เขาพูด
Put the knife away before someone gets hurt.
= เอามีดไปเก็บที่ก่อนที่ใครจะโดนมีดบาด
คำว่า hurt เป็นคำกริยาด้วย เช่น
My back hurts. = ปวดหลัง
My leg hurts. = ปวดขา
เรียกว่า เอามาทุกอวัยวะได้เลยเพราะมันมีโอกาสปวดได้หมด
My tooth hurts. = ปวดฟัน
แต่ถ้าต้องการจะให้เกิดอารมณ์มันส์ๆ ก็ใส่คำว่า like hell เข้าไป ก็จะมีความหมายว่า ปวดฉิกหายหรือโคตะระปวด เช่น
My tooth hurts like hell.= ปวดฟันฉิกหาย (เอางั้นแล้วกัน)
แต่ถ้าไม่อยากจะระบุว่าอะไรปวด แต่สถานการณ์มันบอกอยู่แล้ว ก็ใช้ได้ว่า
It hurts like hell. โอโห มันปวดฉิกหายเลยนา หรือแม่งโคตะระปวดเลย (เป็นการโวยวายรวมๆ เก็บไว้พูดกับคนสนิทแล้วกัน)
Hard work never hurts anyone.
= งานหนักไม่เคยทำให้ใครเจ็บปวด (ไม่ทำร้ายใคร)
Several innocent people are hurt by the bomb.
= ผู้บริสุทธิ์หลายคนบาดเจ็บจากการระเบิด
Was anyone hurt in the car accident?
= มีใครได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถยนต์บ้างหรือเปล่า
เวลาเราจะกินจะทำอะไร แล้วชอบมีคนบอกว่า กินอีกนิด หรือทำอะไรก็ตาม มันไม่เจ็บปวดถึงไหนหรอก เราก็สามารถใช้ว่า
One more kick won’t hurt.
= เตะอีกที มันไม่เจ็บถึงไหนหรอก
Get up early for one day won’t hurt.
= ตื่นนอนเร็วแค่วันเดียวมันไม่เจ็บถึงไหนหรอก (ไม่เป็นไรหรอก)
หรือสำนวน It wouldn’t hurt you to do something = น่าจะลองทำสิ่งนี้ดูเพราะมันไม่เป็นไรหรอก เช่น
It wouldn’t hurt you to go skating.
= ไปเล่นสเก็ตเถอะ ไม่เป็นอะไรหรอก
It won’t hurt you to go to bed early tonight.
= คืนนี้ เข้านอนแต่หัวค่ำไม่ได้ทำให้แกต้องเหนื่อยมากอะไรหรอก (น่าจะเข้านอนหัวค่ำนะ)
คำว่า to encounter + สิ่งใด หมายถึง ประสบกับสิ่งนั้น เช่น
That guy has encountered a lot of problems and difficulties.
= ชายคนนั้นเจอปัญหาและความลำบากมาเยอะ
The president is encountering a serious problem.
= ท่านประธานกำลังประสบกับปัญหาร้ายแรง
(มักใช้กับสิ่งที่ไม่ดี เช่น ปัญหา หรือการต่อต้าน opposition)
และคำนี้สามารถนำไปใช้ในความหมายว่าไปเจอหรือไปพบก็ได้ เช่น
I will encounter the principal today.
= วันนี้ ฉันจะไปเจอกับครูใหญ่
ยิ่งไม่เข็ด ยิ่งแกร่ง ตามวิสัย
คนจะเก่ง เก่งได้ ที่จิตใจ
เรียนรู้ไป ความผิดพลาด ที่ผ่านมา
สำนวน
To get hurt = เจ็บปวด
He always gets hurt from what he says. = เขามักจะเจ็บปวดจากสิ่งที่เขาพูด
Put the knife away before someone gets hurt.
= เอามีดไปเก็บที่ก่อนที่ใครจะโดนมีดบาด
คำว่า hurt เป็นคำกริยาด้วย เช่น
My back hurts. = ปวดหลัง
My leg hurts. = ปวดขา
เรียกว่า เอามาทุกอวัยวะได้เลยเพราะมันมีโอกาสปวดได้หมด
My tooth hurts. = ปวดฟัน
แต่ถ้าต้องการจะให้เกิดอารมณ์มันส์ๆ ก็ใส่คำว่า like hell เข้าไป ก็จะมีความหมายว่า ปวดฉิกหายหรือโคตะระปวด เช่น
My tooth hurts like hell.= ปวดฟันฉิกหาย (เอางั้นแล้วกัน)
แต่ถ้าไม่อยากจะระบุว่าอะไรปวด แต่สถานการณ์มันบอกอยู่แล้ว ก็ใช้ได้ว่า
It hurts like hell. โอโห มันปวดฉิกหายเลยนา หรือแม่งโคตะระปวดเลย (เป็นการโวยวายรวมๆ เก็บไว้พูดกับคนสนิทแล้วกัน)
Hard work never hurts anyone.
= งานหนักไม่เคยทำให้ใครเจ็บปวด (ไม่ทำร้ายใคร)
Several innocent people are hurt by the bomb.
= ผู้บริสุทธิ์หลายคนบาดเจ็บจากการระเบิด
Was anyone hurt in the car accident?
= มีใครได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถยนต์บ้างหรือเปล่า
เวลาเราจะกินจะทำอะไร แล้วชอบมีคนบอกว่า กินอีกนิด หรือทำอะไรก็ตาม มันไม่เจ็บปวดถึงไหนหรอก เราก็สามารถใช้ว่า
One more kick won’t hurt.
= เตะอีกที มันไม่เจ็บถึงไหนหรอก
Get up early for one day won’t hurt.
= ตื่นนอนเร็วแค่วันเดียวมันไม่เจ็บถึงไหนหรอก (ไม่เป็นไรหรอก)
หรือสำนวน It wouldn’t hurt you to do something = น่าจะลองทำสิ่งนี้ดูเพราะมันไม่เป็นไรหรอก เช่น
It wouldn’t hurt you to go skating.
= ไปเล่นสเก็ตเถอะ ไม่เป็นอะไรหรอก
It won’t hurt you to go to bed early tonight.
= คืนนี้ เข้านอนแต่หัวค่ำไม่ได้ทำให้แกต้องเหนื่อยมากอะไรหรอก (น่าจะเข้านอนหัวค่ำนะ)
คำว่า to encounter + สิ่งใด หมายถึง ประสบกับสิ่งนั้น เช่น
That guy has encountered a lot of problems and difficulties.
= ชายคนนั้นเจอปัญหาและความลำบากมาเยอะ
The president is encountering a serious problem.
= ท่านประธานกำลังประสบกับปัญหาร้ายแรง
(มักใช้กับสิ่งที่ไม่ดี เช่น ปัญหา หรือการต่อต้าน opposition)
และคำนี้สามารถนำไปใช้ในความหมายว่าไปเจอหรือไปพบก็ได้ เช่น
I will encounter the principal today.
= วันนี้ ฉันจะไปเจอกับครูใหญ่
I lie awake at night
I lie awake at night.
See things in black and white
I only got you inside my mind.
You know you have made me blind
I lie awake and pray. That you will look my way.
I have all this longing in my heart.
I knew it right from the start.
ข่มตาเท่าไร ไม่หลับสักกะที
ไม่มีคนดี ไม่มีสีสัน
โลกมีแต่ ภาพขาวดำ สลับกัน
เธอเท่านั้น จะเติมฝัน ฉันเป็นจริง
ฉันข่มตา ภาวนา สิ่งศักดิ์สิทธิ์
โปรดดลจิต ให้เธอ มาเจอฉัน
ในใจนั้น มีความนัย อยากแบ่งปัน
ตัวเธอนั้น คือของขวัญ ที่งดงาม
ศัพท์สำนวน
To lie awake = นอนไม่หลับ
To see things in black and white = มองสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจน ว่าถูกหรือผิด หรือมองสิ่งต่างๆอย่างเรียบง่ายเกินไปก็ได้
It is a black-and-white issue. = เป็นประเด็นที่ชัดเจน (ขาวและดำ)
เรามักจะพบคำนี้ในรูปของคำคุณศัพท์ black and white pictures. = ภาพขาวดำ
สำนวนนี้สามารถหมายถึง เป็นลายลักษณ์อักษร ด้วย เช่น
You need to make your confession right here in black and white. = คุณต้องสารภาพด้วยการเขียนเป็นรายลักษณ์อักษร
If you are forgetful, you should make it in black and white. = ถ้าคุณเป็นคนขี้ลืม ก็ควรจะเขียนเอาไว้
เราอาจเจอสำนวน in black and blue ซึ่งจะหมายถึง ฟกช้ำดำเขียว เช่น
If you do it again, I will beat you in black and blue.
= ถ้าทำแบบนี้อีกล่ะก้อ จะตีให้เขียวทีเดียว
A black and white television = ทีวีที่มีภาพขาวดำ
I only got you inside my mind. = ในใจฉันมีแต่เธอ
และสำนวน to make someone blind = ทำให้คนใดคนหนึ่งคิดอะไรไม่ออกเหมือนคนตาบอด
สำนวนใกล้เคียง
To turn a blind eye to + สิ่งใดหรือคนใด หมายถึง ทำเป็นไม่ใส่ใจกับใครหรือสิ่งใด เช่น
Let’s turn a blind eye to that issue.
= เราทำเป็นไม่สนใจกับประเด็นนั้นเถอะ
และสุภาษิต เตี้ยอุ้มค่อม ซึ่งหมายถึง คนที่ไม่รู้อะไรแล้วถามข้อมูลจากคนที่ไม่รู้อะไรเหมือนกัน เขาใช้ว่า
The blind leading the blind = คนตาบอดนำทางคนตาบอดด้วยกันเอง
เช่น If you ask him for help, it’s the case of the blind leading the blind. He can’t even help himself.= ถ้าคุณไปขอความช่วยเหลือจากเขา มันก็เหมือนกับเตี้ยอุ้มค่อมนั่นแหละ ตัวเขาเองยังเอาตัวเองไม่รอดเลย
สำนวน to long for something หรือ to long to + กริยา = ต้องการบางสิ่งบางอย่างอย่างมาก เช่น
We long to see you next year.
= พวกเราอยากพบเธอมากปีหน้า
They long for a cup of coffee after a long discussion.
= พวกเขาอยากจะทานกาแฟหลังจากที่ถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน
Longing เป็นคำนาม หมายถึง ความต้องการอย่างมาก ความต้องการอย่างแรงกล้า เช่น
My longing for being a flight attendant is still in my heart.
= ความปรารถนาที่จะเป็นพนักงานบนเครื่องบินยังอยู่ในใจฉัน
She hopes that her longing for her boyfriend to come back will be true.= เธอหวังว่าความปรารถนาที่จะให้แฟนกลับมานั้นจะเป็นจริง
Grandpa looked back with longing on the good old days.
= ปู่มองย้อนอดีตด้วยความรู้สึกอยากจะมันหวนคืนมา
To know it right from the start = รู้ตั้งแต่แรก
มาจากสำนวน right from the start หมายถึง ตั้งแต่เริ่มต้นเดียว เช่น
They succeeded right from the start.
= พวกเขาประสบผลสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว
We watched this program right from the start to finish.
= เราดูรายการนี้ตั้งแต่เริ่มจนจบเลย
สำนวนใกล้เคียง to get off to a good / bad start = เริ่มต้นอย่างดี หรือแย่ เช่น
I got off to a good start when Dad called me and said “Happy Birthday.” = ฉันเริ่มต้นวันนี้ด้วยดีตอนที่พ่อโทรมาอวยพรวันเกิด
See things in black and white
I only got you inside my mind.
You know you have made me blind
I lie awake and pray. That you will look my way.
I have all this longing in my heart.
I knew it right from the start.
ข่มตาเท่าไร ไม่หลับสักกะที
ไม่มีคนดี ไม่มีสีสัน
โลกมีแต่ ภาพขาวดำ สลับกัน
เธอเท่านั้น จะเติมฝัน ฉันเป็นจริง
ฉันข่มตา ภาวนา สิ่งศักดิ์สิทธิ์
โปรดดลจิต ให้เธอ มาเจอฉัน
ในใจนั้น มีความนัย อยากแบ่งปัน
ตัวเธอนั้น คือของขวัญ ที่งดงาม
ศัพท์สำนวน
To lie awake = นอนไม่หลับ
To see things in black and white = มองสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจน ว่าถูกหรือผิด หรือมองสิ่งต่างๆอย่างเรียบง่ายเกินไปก็ได้
It is a black-and-white issue. = เป็นประเด็นที่ชัดเจน (ขาวและดำ)
เรามักจะพบคำนี้ในรูปของคำคุณศัพท์ black and white pictures. = ภาพขาวดำ
สำนวนนี้สามารถหมายถึง เป็นลายลักษณ์อักษร ด้วย เช่น
You need to make your confession right here in black and white. = คุณต้องสารภาพด้วยการเขียนเป็นรายลักษณ์อักษร
If you are forgetful, you should make it in black and white. = ถ้าคุณเป็นคนขี้ลืม ก็ควรจะเขียนเอาไว้
เราอาจเจอสำนวน in black and blue ซึ่งจะหมายถึง ฟกช้ำดำเขียว เช่น
If you do it again, I will beat you in black and blue.
= ถ้าทำแบบนี้อีกล่ะก้อ จะตีให้เขียวทีเดียว
A black and white television = ทีวีที่มีภาพขาวดำ
I only got you inside my mind. = ในใจฉันมีแต่เธอ
และสำนวน to make someone blind = ทำให้คนใดคนหนึ่งคิดอะไรไม่ออกเหมือนคนตาบอด
สำนวนใกล้เคียง
To turn a blind eye to + สิ่งใดหรือคนใด หมายถึง ทำเป็นไม่ใส่ใจกับใครหรือสิ่งใด เช่น
Let’s turn a blind eye to that issue.
= เราทำเป็นไม่สนใจกับประเด็นนั้นเถอะ
และสุภาษิต เตี้ยอุ้มค่อม ซึ่งหมายถึง คนที่ไม่รู้อะไรแล้วถามข้อมูลจากคนที่ไม่รู้อะไรเหมือนกัน เขาใช้ว่า
The blind leading the blind = คนตาบอดนำทางคนตาบอดด้วยกันเอง
เช่น If you ask him for help, it’s the case of the blind leading the blind. He can’t even help himself.= ถ้าคุณไปขอความช่วยเหลือจากเขา มันก็เหมือนกับเตี้ยอุ้มค่อมนั่นแหละ ตัวเขาเองยังเอาตัวเองไม่รอดเลย
สำนวน to long for something หรือ to long to + กริยา = ต้องการบางสิ่งบางอย่างอย่างมาก เช่น
We long to see you next year.
= พวกเราอยากพบเธอมากปีหน้า
They long for a cup of coffee after a long discussion.
= พวกเขาอยากจะทานกาแฟหลังจากที่ถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน
Longing เป็นคำนาม หมายถึง ความต้องการอย่างมาก ความต้องการอย่างแรงกล้า เช่น
My longing for being a flight attendant is still in my heart.
= ความปรารถนาที่จะเป็นพนักงานบนเครื่องบินยังอยู่ในใจฉัน
She hopes that her longing for her boyfriend to come back will be true.= เธอหวังว่าความปรารถนาที่จะให้แฟนกลับมานั้นจะเป็นจริง
Grandpa looked back with longing on the good old days.
= ปู่มองย้อนอดีตด้วยความรู้สึกอยากจะมันหวนคืนมา
To know it right from the start = รู้ตั้งแต่แรก
มาจากสำนวน right from the start หมายถึง ตั้งแต่เริ่มต้นเดียว เช่น
They succeeded right from the start.
= พวกเขาประสบผลสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว
We watched this program right from the start to finish.
= เราดูรายการนี้ตั้งแต่เริ่มจนจบเลย
สำนวนใกล้เคียง to get off to a good / bad start = เริ่มต้นอย่างดี หรือแย่ เช่น
I got off to a good start when Dad called me and said “Happy Birthday.” = ฉันเริ่มต้นวันนี้ด้วยดีตอนที่พ่อโทรมาอวยพรวันเกิด
five fingers
เหตุผลที่คนเรามี 5 นิ้ว
I have five fingers for a reason:
My pinky finger
For my best friend and the promises I will never break....
ฉันมีนิ้วอยู่ 5 นิ้วด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
นิ้วก้อยเอาไว้สำหรับเพื่อนที่รักที่สุดและสัญญาที่ฉันจะไม่มีวันบิดพลิ้ว
A little finger = a pinky finger
My ring finger
For that special boy, when the time is right.
นิ้วนางเอาไว้สำหรับคนพิเศษเมื่อเวลาเหมาะสม
My middle finger
For that bitch who pushes me too far.
นิ้วกลางเอาไว้ให้คนไม่ดีที่ชอบทำให้ฉันรู้สึกแย่
สำนวน to push someone too far = ทำให้เกดความรู้สึกเป็นปรปักษ์ ทำให้รู้สึกแย่ คำว่า bitch คือ สุนัขตัวเมีย แต่เมื่อเอามาใช้กับคนก็จะมีความหมายที่ไม่ดี คือ นังตัวแสบ นังตัวดี อะไรแถวๆนี้ แต่ถ้า son of the bitch อันนี้แหละหยาบตัวพ่อ เอาไว้ใช้ด่าผู้ชายเพราะมีคำว่า son อยู่ซึ่งหมายถึง ลูกของสุนัขตัวเมีย (อย่าเที่ยวเอาไปใช้ซี๊ซั๊ว เดี๋ยวตัวท่านนั่นแหละจะมีภัย)
My pointer finger
to pick out my dearest family members.
ส่วนนิ้วชี้ มีไว้สำหรับเลือกสมาชิกในครอบครัวที่รักที่สุด
My thumb
To show the rest of the world that I am going to be OK.
ส่วนนิ้วแม่มือเอาไว้บอกคนที่เหลือทั้งโลกว่า ฉันสบายมาก
คำว่า okay มีที่ใช้กว้างมาก แต่ก็ต้องเรียนรู้
I have five fingers for a reason:
My pinky finger
For my best friend and the promises I will never break....
ฉันมีนิ้วอยู่ 5 นิ้วด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
นิ้วก้อยเอาไว้สำหรับเพื่อนที่รักที่สุดและสัญญาที่ฉันจะไม่มีวันบิดพลิ้ว
A little finger = a pinky finger
My ring finger
For that special boy, when the time is right.
นิ้วนางเอาไว้สำหรับคนพิเศษเมื่อเวลาเหมาะสม
My middle finger
For that bitch who pushes me too far.
นิ้วกลางเอาไว้ให้คนไม่ดีที่ชอบทำให้ฉันรู้สึกแย่
สำนวน to push someone too far = ทำให้เกดความรู้สึกเป็นปรปักษ์ ทำให้รู้สึกแย่ คำว่า bitch คือ สุนัขตัวเมีย แต่เมื่อเอามาใช้กับคนก็จะมีความหมายที่ไม่ดี คือ นังตัวแสบ นังตัวดี อะไรแถวๆนี้ แต่ถ้า son of the bitch อันนี้แหละหยาบตัวพ่อ เอาไว้ใช้ด่าผู้ชายเพราะมีคำว่า son อยู่ซึ่งหมายถึง ลูกของสุนัขตัวเมีย (อย่าเที่ยวเอาไปใช้ซี๊ซั๊ว เดี๋ยวตัวท่านนั่นแหละจะมีภัย)
My pointer finger
to pick out my dearest family members.
ส่วนนิ้วชี้ มีไว้สำหรับเลือกสมาชิกในครอบครัวที่รักที่สุด
My thumb
To show the rest of the world that I am going to be OK.
ส่วนนิ้วแม่มือเอาไว้บอกคนที่เหลือทั้งโลกว่า ฉันสบายมาก
คำว่า okay มีที่ใช้กว้างมาก แต่ก็ต้องเรียนรู้
สบายดี ไม่ป่วยไม่ไข้
Are you OK? = สบายดีไหม ไม่ป่วยไม่ไข้
Do you feel OK now? = รู้สึกดีหรือยัง
Mum's doing OK now.= แม่กำลังรู้สึกดีขึ้น
ใช้ได้ไหม รับได้ไหม ตกลงไหม
Will 6 pm be OK? = 6 โมงเย็น ตกลงไหม
Does my face look OK? = หน้าฉันโอหรือยัง (ดีหรือยัง)
that's/it's OK = ไม่เป็นไร
'Sorry I'm late.' (ขอโทษที่มาสาย) 'That's OK.' (ไม่เป็นไร)
Is it OK if I leave my bags here?= ไม่เป็นไรใช่ไหมถ้าฉันจะวางกระเป๋าไว้ตรงนี้ (เดี๋ยวก็รู้)
Yeah, the TV 's working OK.= ไชโย ทีวีใช้ได้แล้ว ไม่เป็นไรแล้ว
It's okay for you to go home now.= กลับบ้านตอนนี้ไหวไหม
it is okay with/by somebody
I'll pay you the rest tomorrow, if that's OK with you.
= ฉันจะจ่ายเงินที่เหลือให้พรุ่งนี้ ถ้าคุณตกลง (ไม่ว่าอะไร)
พอไหว
'How was the film?' (หนังเป็นไงบ้าง) 'It was okay. (ก็พอไหว)
I think I did okay in the exam.=ฉันทำข้อสอบพอได้
อัธยาศัยดี เป็นมิตร
I've met John once, and he seems OK.= ฉันพบจอนห์ครั้งเดียว ฉันว่าเขาก็อัธยาศัยดีนะ
He's an OK guy.= เขาเป็นคนดีนะ
Are you OK? = สบายดีไหม ไม่ป่วยไม่ไข้
Do you feel OK now? = รู้สึกดีหรือยัง
Mum's doing OK now.= แม่กำลังรู้สึกดีขึ้น
ใช้ได้ไหม รับได้ไหม ตกลงไหม
Will 6 pm be OK? = 6 โมงเย็น ตกลงไหม
Does my face look OK? = หน้าฉันโอหรือยัง (ดีหรือยัง)
that's/it's OK = ไม่เป็นไร
'Sorry I'm late.' (ขอโทษที่มาสาย) 'That's OK.' (ไม่เป็นไร)
Is it OK if I leave my bags here?= ไม่เป็นไรใช่ไหมถ้าฉันจะวางกระเป๋าไว้ตรงนี้ (เดี๋ยวก็รู้)
Yeah, the TV 's working OK.= ไชโย ทีวีใช้ได้แล้ว ไม่เป็นไรแล้ว
It's okay for you to go home now.= กลับบ้านตอนนี้ไหวไหม
it is okay with/by somebody
I'll pay you the rest tomorrow, if that's OK with you.
= ฉันจะจ่ายเงินที่เหลือให้พรุ่งนี้ ถ้าคุณตกลง (ไม่ว่าอะไร)
พอไหว
'How was the film?' (หนังเป็นไงบ้าง) 'It was okay. (ก็พอไหว)
I think I did okay in the exam.=ฉันทำข้อสอบพอได้
อัธยาศัยดี เป็นมิตร
I've met John once, and he seems OK.= ฉันพบจอนห์ครั้งเดียว ฉันว่าเขาก็อัธยาศัยดีนะ
He's an OK guy.= เขาเป็นคนดีนะ
โครงสร้างประโยค
ในภาษาอังกฤษ เขามีการเปรียบเทียบโดยใช้โครงสร้าง
ประธาน1 + V + as…..คุณศัพท์ หรือวิเศษณ์ + as + ประธาน 2
ที่ไหนที่มีการเปรียบเทียบ เขาก็จะใช้โครงสร้างข้างบนนี้แหละครับมาช่วย เช่น
เราต้องการบอกว่า เด็กหญิงคนนี้น่ารักพอๆกับเด็กหญิงคนนั้น เราก็สามารถใช้ว่า
This girl is as pretty as that girl.
ยากไหม เพียงแค่เราหาคำคุณศัพท์หรือคำวิเศษณ์มาใส่ไว้ตรงกลาง มันก็จบ
This girl walks as quickly as that girl.
= เด็กหญิงคนนี้เดินเร็วเท่ากับเด็กหญิงคนนั้น
และถ้าเราต้องการจะบอกว่าเด็กหญิงคนนี้ไม่น่ารักเท่าเด็กหญิงคนนั้น เราก็เอา not ไปใส่หลังกริยา เราก็จะได้ว่า
This girl is not as pretty as that girl.
เห็นไหมว่ามันไม่ยาก
แบบฝึกหัด จงดูโครงสร้างที่ให้มาแล้วแปลเป็นไทย
1. I am as old as my friend.
……………………………………….
2. He is not as strong as she.
……………………………………….
3. This house is as big as that house.
……………………………………….
4. This boy is as smart as that boy.
...............................................................................
5. This book is as cheap as that book.
...............................................................................
6. This girl is as stupid as that girl.
...............................................................................
7. This room is as quiet as that room.
...............................................................................
8. This apartment is as beautiful as that apartment.
...............................................................................
9. This park is as large as that park.
...............................................................................
10. This computer is as advanced as that computer.
...............................................................................
เฉลย
1. I am as old as my friend.
ฉันอายุเท่ากับเพื่อนฉัน
2. He is not as strong as she.
เขาแข็งแรงไม่เท่าหล่อน
3. This house is as big as that house.
บ้านหลังนี้ใหญ่พอๆกับบ้านหลังนั้น
4. This boy is as smart as that boy.
เด็กชายคนนี้ฉลาดเท่าเด็กชายคนนั้น
5. This book is as cheap as that book.
หนังสือเล่มนี้ถูกเท่ากับหนังสือเล่มนั้น
6. This girl is as stupid as that girl
เด็กหญิงคนนี้โง่พอๆกับเด็กหญิงคนนั้น
7. This room is as quiet as that room.
ห้องนี้เงียบพอๆกีบห้องนั่น
8. This apartment is as beautiful as that apartment.
ห้องชุดนี้สวยพอๆกับห้องชุดนั้น
9. This park is as large as that park.
สวนสาธารณะนี้ใหญ่พอๆกับสวนสาธารณะนั้น
10. This computer is as advanced as that computer.
คอมพิวเตอร์เครื่องนี้ทันสมัยพอๆกับคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
แบบฝึกหัด จงแปลประโยคต่อไปนี้เป็นภาษาอังกฤษ
1. ทีวีเครื่องนี้ใหม่พอๆกับทีวีเครื่องนั้น
2. โซฟาตัวนี้สบายพอๆกับโซฟาตัวนั้น
3. ส้มลูกนี้เปรี้ยวพอๆกับส้มลูกนั้น
4. น้ำตาลหวานพอๆกับน้ำผึ้ง
5. วิชานี้ยากพอๆกับวิชานั้น
6. กระเป๋าใบนี้หนักพอๆกับกระเป๋าใบนั้น
7. ขวดใบนี้ใสพอๆกับขวดใบนั้น
8. ผู้หญิงคนนี้เป็นกันเองพอๆกับผู้หญิงคนนั้น
9. ทารกคนนี้น่ารักพอๆกับทารกคนนั้น
10. เสือตัวนี้ดุร้ายพอๆกับเมือตัวนั้น
11. โต๊ะตัวนี้เบาพอๆกับโต๊ะตัวนั้น
12. ลูกฉันสูงพอๆกับลูกคุณ
13. สะพานแห่งนี้ยาวพอๆกับสะพานแห่งนั้น
14. แม่น้ำสายนี้กว้างพอๆกับแม่น้ำสายนั้น
15. นิตยสารเล่มนี้หนาพอๆกับนิตยสารเล่มนั้น
16. ลุงฉันมีความสุขพอๆกับป้าฉัน
17. วันนี้ร้อนพอๆกับเมื่อวาน
18. ช้างเชือกนี้ฉลาดพอๆกับช้างเชือกนั้น
19. ห้องนี้ใหญ่พอๆกับห้องนั้น
20. สวนนี้มีเสน่ห์พอๆกับสวนนั้น
21. คนที่นี่เป็นกันเองพอๆกับคนที่นั่น
22. รถยนต์คันนี้สบายพอๆกับรถยนต์คันนั้น
23. เด็กหญิงคนนี้รูปร่างดีพอๆกับเด็กหญิงคนนั้น
24. เครื่องบินลำนี้เร็วเท่ากับเครื่องบินลำนั้น
25. พัดลมไฟฟ้าตัวนี้เล็กพอๆกับพัดลมไปฟ้าตัวนั้น
26. วิทยาศาสตร์สำคัญพอๆกับภาษาอังกฤษ
27. ถนนสายนี้แคบพอๆกับถนนอีกสายหนึ่ง
28. ชั้นนี้สูงพอๆกับอีกชั้นหนึ่ง
29. ทะเลสาบแห่งนี้ลึกพอๆกับทะเลสาบอีกแห่ง
30. คลองนี้ตื้นพอๆกับอีกคลองหนึ่ง
31. นักเรียนคนนี้อายุน้อยพอๆกับนักเรียนอีกคน
32. เหล็กชิ้นนี้หนักพอๆกับเหล็กอีกชิ้นหนึ่ง
33. รถไฟขบวนนี้ช้าพอๆกับรถไฟอีกขบวน
34. ร้านค้านี้อยู่ไกลพอๆกับร้านค้าอีกแห่งหนึ่ง
35.โรงแรมนี้หรูหราเท่าอีกแห่งหนึ่ง
เฉลย
1. This television set is as new as that television set.
2. This sofa is as comfortable as that sofa.
3. This orange is sour as that orange.
4. Sugar is as sweet as honey.
5. This subject is as difficult as that subject.
6. This bag is as heavy as that bag.
7. This bottle is as clear as that bottle.
8. This woman is as friendly as that woman.
9. This baby is as cute as that baby.
10. This tiger is as fierce as that tiger.
11. This desk is as light as that desk.
12. My son is as tall as your son.
13. This bridge is as long as that bridge.
14. This river is as wide as that river.
15. This magazine is as thick as that magazine.
16. My uncle is as happy as my aunt.
17. Today is as hot as yesterday.
18. This elephant is as clever as that elephant.
19. This room is as large as that room.
20. This garden is as attractive as that garden.
21. People here are as friendly as people there.
22. This car is as comfortable as that car.
23. This girl is as slender as that girl.
24. This plane is as fast as that plane.
25. This electric fan is as small as that electric fan.
26. Science is as important as English.
27. This street is as narrow as the other one.
28. This shelf is as high as the other one.
29. This lake is as deep as the other one.
30. This canal is as shallow as the other one.
31. This pupil is as young as the other one.
32. This piece of metal is as heavy as the other one.
33. This train is as slow as the other one.
34. This store is as far as the other one.
35. This hotel is as luxury as the other one.
ประธาน1 + V + as…..คุณศัพท์ หรือวิเศษณ์ + as + ประธาน 2
ที่ไหนที่มีการเปรียบเทียบ เขาก็จะใช้โครงสร้างข้างบนนี้แหละครับมาช่วย เช่น
เราต้องการบอกว่า เด็กหญิงคนนี้น่ารักพอๆกับเด็กหญิงคนนั้น เราก็สามารถใช้ว่า
This girl is as pretty as that girl.
ยากไหม เพียงแค่เราหาคำคุณศัพท์หรือคำวิเศษณ์มาใส่ไว้ตรงกลาง มันก็จบ
This girl walks as quickly as that girl.
= เด็กหญิงคนนี้เดินเร็วเท่ากับเด็กหญิงคนนั้น
และถ้าเราต้องการจะบอกว่าเด็กหญิงคนนี้ไม่น่ารักเท่าเด็กหญิงคนนั้น เราก็เอา not ไปใส่หลังกริยา เราก็จะได้ว่า
This girl is not as pretty as that girl.
เห็นไหมว่ามันไม่ยาก
แบบฝึกหัด จงดูโครงสร้างที่ให้มาแล้วแปลเป็นไทย
1. I am as old as my friend.
……………………………………….
2. He is not as strong as she.
……………………………………….
3. This house is as big as that house.
……………………………………….
4. This boy is as smart as that boy.
...............................................................................
5. This book is as cheap as that book.
...............................................................................
6. This girl is as stupid as that girl.
...............................................................................
7. This room is as quiet as that room.
...............................................................................
8. This apartment is as beautiful as that apartment.
...............................................................................
9. This park is as large as that park.
...............................................................................
10. This computer is as advanced as that computer.
...............................................................................
เฉลย
1. I am as old as my friend.
ฉันอายุเท่ากับเพื่อนฉัน
2. He is not as strong as she.
เขาแข็งแรงไม่เท่าหล่อน
3. This house is as big as that house.
บ้านหลังนี้ใหญ่พอๆกับบ้านหลังนั้น
4. This boy is as smart as that boy.
เด็กชายคนนี้ฉลาดเท่าเด็กชายคนนั้น
5. This book is as cheap as that book.
หนังสือเล่มนี้ถูกเท่ากับหนังสือเล่มนั้น
6. This girl is as stupid as that girl
เด็กหญิงคนนี้โง่พอๆกับเด็กหญิงคนนั้น
7. This room is as quiet as that room.
ห้องนี้เงียบพอๆกีบห้องนั่น
8. This apartment is as beautiful as that apartment.
ห้องชุดนี้สวยพอๆกับห้องชุดนั้น
9. This park is as large as that park.
สวนสาธารณะนี้ใหญ่พอๆกับสวนสาธารณะนั้น
10. This computer is as advanced as that computer.
คอมพิวเตอร์เครื่องนี้ทันสมัยพอๆกับคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
แบบฝึกหัด จงแปลประโยคต่อไปนี้เป็นภาษาอังกฤษ
1. ทีวีเครื่องนี้ใหม่พอๆกับทีวีเครื่องนั้น
2. โซฟาตัวนี้สบายพอๆกับโซฟาตัวนั้น
3. ส้มลูกนี้เปรี้ยวพอๆกับส้มลูกนั้น
4. น้ำตาลหวานพอๆกับน้ำผึ้ง
5. วิชานี้ยากพอๆกับวิชานั้น
6. กระเป๋าใบนี้หนักพอๆกับกระเป๋าใบนั้น
7. ขวดใบนี้ใสพอๆกับขวดใบนั้น
8. ผู้หญิงคนนี้เป็นกันเองพอๆกับผู้หญิงคนนั้น
9. ทารกคนนี้น่ารักพอๆกับทารกคนนั้น
10. เสือตัวนี้ดุร้ายพอๆกับเมือตัวนั้น
11. โต๊ะตัวนี้เบาพอๆกับโต๊ะตัวนั้น
12. ลูกฉันสูงพอๆกับลูกคุณ
13. สะพานแห่งนี้ยาวพอๆกับสะพานแห่งนั้น
14. แม่น้ำสายนี้กว้างพอๆกับแม่น้ำสายนั้น
15. นิตยสารเล่มนี้หนาพอๆกับนิตยสารเล่มนั้น
16. ลุงฉันมีความสุขพอๆกับป้าฉัน
17. วันนี้ร้อนพอๆกับเมื่อวาน
18. ช้างเชือกนี้ฉลาดพอๆกับช้างเชือกนั้น
19. ห้องนี้ใหญ่พอๆกับห้องนั้น
20. สวนนี้มีเสน่ห์พอๆกับสวนนั้น
21. คนที่นี่เป็นกันเองพอๆกับคนที่นั่น
22. รถยนต์คันนี้สบายพอๆกับรถยนต์คันนั้น
23. เด็กหญิงคนนี้รูปร่างดีพอๆกับเด็กหญิงคนนั้น
24. เครื่องบินลำนี้เร็วเท่ากับเครื่องบินลำนั้น
25. พัดลมไฟฟ้าตัวนี้เล็กพอๆกับพัดลมไปฟ้าตัวนั้น
26. วิทยาศาสตร์สำคัญพอๆกับภาษาอังกฤษ
27. ถนนสายนี้แคบพอๆกับถนนอีกสายหนึ่ง
28. ชั้นนี้สูงพอๆกับอีกชั้นหนึ่ง
29. ทะเลสาบแห่งนี้ลึกพอๆกับทะเลสาบอีกแห่ง
30. คลองนี้ตื้นพอๆกับอีกคลองหนึ่ง
31. นักเรียนคนนี้อายุน้อยพอๆกับนักเรียนอีกคน
32. เหล็กชิ้นนี้หนักพอๆกับเหล็กอีกชิ้นหนึ่ง
33. รถไฟขบวนนี้ช้าพอๆกับรถไฟอีกขบวน
34. ร้านค้านี้อยู่ไกลพอๆกับร้านค้าอีกแห่งหนึ่ง
35.โรงแรมนี้หรูหราเท่าอีกแห่งหนึ่ง
เฉลย
1. This television set is as new as that television set.
2. This sofa is as comfortable as that sofa.
3. This orange is sour as that orange.
4. Sugar is as sweet as honey.
5. This subject is as difficult as that subject.
6. This bag is as heavy as that bag.
7. This bottle is as clear as that bottle.
8. This woman is as friendly as that woman.
9. This baby is as cute as that baby.
10. This tiger is as fierce as that tiger.
11. This desk is as light as that desk.
12. My son is as tall as your son.
13. This bridge is as long as that bridge.
14. This river is as wide as that river.
15. This magazine is as thick as that magazine.
16. My uncle is as happy as my aunt.
17. Today is as hot as yesterday.
18. This elephant is as clever as that elephant.
19. This room is as large as that room.
20. This garden is as attractive as that garden.
21. People here are as friendly as people there.
22. This car is as comfortable as that car.
23. This girl is as slender as that girl.
24. This plane is as fast as that plane.
25. This electric fan is as small as that electric fan.
26. Science is as important as English.
27. This street is as narrow as the other one.
28. This shelf is as high as the other one.
29. This lake is as deep as the other one.
30. This canal is as shallow as the other one.
31. This pupil is as young as the other one.
32. This piece of metal is as heavy as the other one.
33. This train is as slow as the other one.
34. This store is as far as the other one.
35. This hotel is as luxury as the other one.
I have fallen
เริ่มรักเธอแล้วซิ
I have fallen for your laugh, which is utterly contagious.
I have fallen for your smile, which makes me giddy for no reason at all.
I have fallen for our late night talks when I arrive home early....
I have fallen for our jokes, which I will remember days later and burst into laughter.
I have fallen for how you can make my day better even if I wanted to cry a minute before.
I have fallen for every second I get to spend with you, even if those seconds will always wanting more.
(ฉันเริ่มรักเสียงหัวเราะของเธอเพราะมันทำให้ฉันหัวเราะด้วย ฉันเริ่มรักรอยยิ้ม ซึ่งทำให้น่าเวียนหัวโดยไม่มีเหตุผลเลย ฉันเริ่มรักการพูดคุยจนดึกดื่นเมื่อฉันกลับถึงบ้านเร็ว ฉันเริ่มรักเรื่องตลกที่เธอเล่า ฉันจำได้ในอีกหลายวันต่อมาและทำให้ฉันหัวเราะได้ ฉันเริ่มรักการที่เธอทำให้ฉันมีความสุขมากแม้ว่าก่อนหน้านี้อยากจะร้องไห้ก็ตาม ฉันเริ่มรักทุกวินาทีที่จะได้อยู่กับเธอแม้ว่าเวลาเหล่านั้นจะยิ่งทำให้ฉันร่ำร้องหาอีก)
I have fallen for your laugh, which is utterly contagious.
I have fallen for your smile, which makes me giddy for no reason at all.
I have fallen for our late night talks when I arrive home early....
I have fallen for our jokes, which I will remember days later and burst into laughter.
I have fallen for how you can make my day better even if I wanted to cry a minute before.
I have fallen for every second I get to spend with you, even if those seconds will always wanting more.
(ฉันเริ่มรักเสียงหัวเราะของเธอเพราะมันทำให้ฉันหัวเราะด้วย ฉันเริ่มรักรอยยิ้ม ซึ่งทำให้น่าเวียนหัวโดยไม่มีเหตุผลเลย ฉันเริ่มรักการพูดคุยจนดึกดื่นเมื่อฉันกลับถึงบ้านเร็ว ฉันเริ่มรักเรื่องตลกที่เธอเล่า ฉันจำได้ในอีกหลายวันต่อมาและทำให้ฉันหัวเราะได้ ฉันเริ่มรักการที่เธอทำให้ฉันมีความสุขมากแม้ว่าก่อนหน้านี้อยากจะร้องไห้ก็ตาม ฉันเริ่มรักทุกวินาทีที่จะได้อยู่กับเธอแม้ว่าเวลาเหล่านั้นจะยิ่งทำให้ฉันร่ำร้องหาอีก)
เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม แสนน่ารัก
ใครยากจัก มาเทียม เธอนี้ได้
ทั้งเรื่องเล่า หยอกล้อ ก็อิ่มใจ
ทุกวินาที ที่ผ่านไป ยิ่งอยากเจอ
สำนวน
To fall for someone = เริ่มชอบใครสักคน เช่น
Last week I met a girl and I fell for her.
= สัปดาห์ก่อน ฉันพบผู้หญิงคนหนึ่งและก็เริ่มชอบ
คำว่า utterly = อย่างมาก = very
contagious = ที่ติดต่อ ใช้กับโรคหรือความรู้สึก
The infection is highly contagious, so don't let anyone else use your towel.= การติดเชื้อติดต่อมาก ดังนั้น อย่าให้คนอื่นใช้ผ้าเช็ดตัว
Fear is contagious. = ความกลัวมันติดต่อกันได้
Happiness is contagious. = ความสุขมันติดต่อกันได้
Yawning is contagious. = การหาวมันติดต่อกัน (คนอยู่ใกล้ก็หาวด้วย)
Laughter is contagious. = การหัวเราะก็ติดต่อ
giddy = อาการเวียนหัว
for no reason = ไม่มีเหตุผล
I love you for no reason. = รักเธอไม่มีเหตุผล
Late night talks = การคุยจนดึกจนดื่น
To burst into laughter = ระเบิดเสียงหัวเราะ (หัวเราะอย่างมีความสุข)
To burst into tears = ร้องไห้โฮ
สำนวน to make somebody's day = ทำให้มีความสุข มาก
Hearing her voice on the phone really made my day = การได้ยินเสียงเธอทางโทรศัพท์ทำให้ฉันมีความสุขมาก
Talking to you really makes my day. = การได้คุยกับเธอทำให้ฉันมีความสุขมาก
คำว่า second ปกติแปลว่า วินาที แต่เมื่อเราเอามาใช้ในสำนวนว่า Wait a second!. = รอเดี๋ยว รอแป๊บ
To fall for something = หลอกให้เชื่อในบางสิ่งบางอย่าง หลอกให้เชื่อ เช่น
He told me that he owned a mansion in Spain and I fell for it. = เขาบอกฉันว่าเขาเป็นเจ้าของคฤหาสน์ในประเทศสเปนและฉันก็หลงเชื่อ
สำนวน I'm not falling for that one! .= ก็หลอกฉันได้แค่ครั้งเดียว
(ฉันจะไม่มีวันโดนหลอกอีก ฉันจะมีวันเชื่ออีก)
A: "Lend me some money and I'll buy you a drink."
= ให้ฉันยืมเงินหน่อยและเดี๋ยวจะซื้อเครื่องดื่มมาให้
B: "Oh no, I'm not falling for that one."
= ไม่ต้องเลย หลอกได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ
ใครยากจัก มาเทียม เธอนี้ได้
ทั้งเรื่องเล่า หยอกล้อ ก็อิ่มใจ
ทุกวินาที ที่ผ่านไป ยิ่งอยากเจอ
สำนวน
To fall for someone = เริ่มชอบใครสักคน เช่น
Last week I met a girl and I fell for her.
= สัปดาห์ก่อน ฉันพบผู้หญิงคนหนึ่งและก็เริ่มชอบ
คำว่า utterly = อย่างมาก = very
contagious = ที่ติดต่อ ใช้กับโรคหรือความรู้สึก
The infection is highly contagious, so don't let anyone else use your towel.= การติดเชื้อติดต่อมาก ดังนั้น อย่าให้คนอื่นใช้ผ้าเช็ดตัว
Fear is contagious. = ความกลัวมันติดต่อกันได้
Happiness is contagious. = ความสุขมันติดต่อกันได้
Yawning is contagious. = การหาวมันติดต่อกัน (คนอยู่ใกล้ก็หาวด้วย)
Laughter is contagious. = การหัวเราะก็ติดต่อ
giddy = อาการเวียนหัว
for no reason = ไม่มีเหตุผล
I love you for no reason. = รักเธอไม่มีเหตุผล
Late night talks = การคุยจนดึกจนดื่น
To burst into laughter = ระเบิดเสียงหัวเราะ (หัวเราะอย่างมีความสุข)
To burst into tears = ร้องไห้โฮ
สำนวน to make somebody's day = ทำให้มีความสุข มาก
Hearing her voice on the phone really made my day = การได้ยินเสียงเธอทางโทรศัพท์ทำให้ฉันมีความสุขมาก
Talking to you really makes my day. = การได้คุยกับเธอทำให้ฉันมีความสุขมาก
คำว่า second ปกติแปลว่า วินาที แต่เมื่อเราเอามาใช้ในสำนวนว่า Wait a second!. = รอเดี๋ยว รอแป๊บ
To fall for something = หลอกให้เชื่อในบางสิ่งบางอย่าง หลอกให้เชื่อ เช่น
He told me that he owned a mansion in Spain and I fell for it. = เขาบอกฉันว่าเขาเป็นเจ้าของคฤหาสน์ในประเทศสเปนและฉันก็หลงเชื่อ
สำนวน I'm not falling for that one! .= ก็หลอกฉันได้แค่ครั้งเดียว
(ฉันจะไม่มีวันโดนหลอกอีก ฉันจะมีวันเชื่ออีก)
A: "Lend me some money and I'll buy you a drink."
= ให้ฉันยืมเงินหน่อยและเดี๋ยวจะซื้อเครื่องดื่มมาให้
B: "Oh no, I'm not falling for that one."
= ไม่ต้องเลย หลอกได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ
เรื่องการบอกตำแหน่ง
ส่วนนี้จะเป็นการนำเสนอที่ตั้งของสถานที่ต่างๆที่น่ารู้ เพราะการอยู่ในเมือง ก็ต้องเจอสถานที่เหล่านี้ ยิ่งฝรั่งมังค่ามาถามจะได้บอกเขาถูก ไม่ใช่ (หนูไม่รู้ลูกเดียว) I don’t know. แล้วหนูจะรู้เมื่อไร ถึงเวลาที่ต้องเรียนรู้แล้วหนูๆ ถามว่ามันสำคัญมากไหม มันก็ไม่สำคัญมากเท่ากับข้าวปลาอาหารเครื่องนุ่งห่มและยารักษาโรคหรอก แต่ถ้ารู้ไว้ มันจะเป็นการดีกว่าไหมล่ะ เรียกว่าใครอ่านจบทำจบตามคำแนะนำ จากนี้ไป ก็ไม่ต้องกลัวว่า ฝรั่งหรือคนต่างชาติจะหลง เราจะสามารถจัดการได้
สำนวนเกี่ยวกับที่ตั้งของสถานที่ต่างๆ
at the end of the road, แอ็ท ดิ เอ็น อ๊อฝ เดอะ โร๊ด ใช้บรรยายว่า สุดถนน
สำนวนที่สอง between the…and the…, บี-ทะวีน เดอะ ชื่อสถานที่หรือถนน แอน เดอะ + ชื่อสถานที่หรือถนน แปลว่า อยู่ระหว่าง …..และ……
on the right-hand side ออน เดอะ ไร๊ท์ ซายด์ อยู่ทางด้านขวา
on the left-hand side ออน เดอะ เล๊ฝ ซายด์ อยู่ทางด้านซ้าย เช่น The bank is on the left-hand side.= ธนาคารอยู่ทางด้านซ้ายแต่อาจจะไม่ต้องบอกว่าอยู่ด้านซ้ายของอะไรเพียงแค่ต้องการบอกว่าอยู่ทางด้านซ้ายมือ
on the right of ออน เดอะ ไร๊ท์ ซายด์ อ๊อฝ อยู่ทางด้านซ้ายของ เช่น
The bank is on the right of the school.
= ธนาคารอยู่ทางขวาของโรงเรียน
on the left of ออน เดอะ เล๊ฝ อ๊อฝ อยู่ทางด้านซ้ายของ สำนวนนี้จะมีสถานทีที่ผู้บรรยายต้องการบอกตามมาด้วย เช่น
The bank is on the left of the school.
= ธนาคารอยู่ทางซ้ายของโรงเรียน
opposite อ๊าฝเผอะซิท ตรงข้ามกับ หรือ across from เออะ คร๊อส ฟรอม เช่น
The post office is opposite / across from the convenience store.
= ไปรษณีย์อยู่ตรงข้ามกับร้านสะดวกซื้อ
behind เบอะฮาย อยู่ข้างหลังของ หรือ at the back of แอ็ท เดอะ แบ๊ค เขิฝ อยู่ด้านหลังของ เช่น
The bank is behind the hospital.
= ธนาคารอยู่หลังโรงพยาบาล
The bank is at the back of the hospital.
in front of อิน ฟร๊อน เถิฝ อยู่ข้างหน้าเช่น
The bank is in front of the mall.
= ธนาคารอยู่ข้างหน้าห้าง
next to เน๊กส์ เถอะ อยู่ถัดจากหรืออยู่ติดกับ เช่น
The bank is next to the school.
= ธนาคารอยู่ติดกับโรงเรียน
สถานที่
1. the railway station เดอะ เรลเวย์ สะเตเชิ่น สถานีรถไฟ
2. the bank เดอะ แบ๊งค์ ธนาคาร
3. the library เดอะ ลายแบรี่ ห้องสมุด
4. the post office เดอะ โพส อ๊าฝฟิส ที่ทำการไปรษณีย์
5. the school เดอะ สะกูล โรงเรียน
6. the theatre เดอะ เธียร์เท่อร์ โรงละคร
7. the town hall เดอะ ทาวน์ ฮอล ศาลากลาง
8. the restaurant เดอะ เร๊สเตอรอง ภัตตาคาร
9. the church เดอะ เชิร์ช โบสถ์
10. the mosque เดอะ มอสค์ สุเหร่า
11. the temple เดอะ เท็มเพิ้ล วัดไทย
12. the café เดอะ แคเฟ่ ร้านกาแฟ
13. the cinema เดอะ ซิเหนอะเมอ โรงภาพยนตร์
14. the concert hall เดอะ คานเสิร์ท ฮอล สถานที่แสดงดนตรี
15. the hotel เดอะ โฮ เทล โรงแรม
16. the shopping centre เดอะ ช๊าพเพิ้ล เซ็นเท่อร์ ศูนย์กลางค้า
17. the pub เดอะ ผับ ทื่ดื่มเหล้า
18. the hospital เดอะ ฮาสเผอะเทิล โรงพยาบาล
19. the police station เดอะ เพอลิส สะเตเชิ่น โรงพัก
20. the swimming pool เดอะ สะวิมมิ่ง พูล สระว่ายน้ำ
21. the skating rink เดอะ สะเก็ตทิ่ง ลิ๊งค์ ลานสเก็ต
22. the bus terminal เดอะ บัส เทอร์มิเนิล สถานีขนส่ง
23. the bus station เดอะ บัส สะเตเชิ่น สถานีขนส่งรถประจำทาง
24.the bus stop เดอะ บัส สะต๊าพ ป้ายรถ
25. the park เดอะ พาร์ค สวนสาธารณะ
26.the prison เดอะ พริเซิ่น คุก
27.the sports stadium เดอะ สะปอร์ท สะเตเดี่ยม สนามกีฬา
28.the office building ดิ อ๊าฝฟิส บิลดิ้ง ที่ทำงาน
29. the car park เดอะ คาร์ พาร์ค the parking lot เดอะ พาร์คิ่ง ล๊าท = ที่จอดรถ
30.the football ground / field เดอะ ฟุ๊ทบอล กราวด์ หรือ ฟีลด์ สนามกีฬา
31.the market เดอะ มาร์เกิท ตลาด
32. the playhouse เดอะ เพล เฮ๊าส์ โรงละคร
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
แบบฝึกหัด จงเขียนประโยคต่อไปนี้เป็นภาษาไทย
1. The railway station is at the end of the road, between the bank and the library.
……………………………………………………………..
2. The bank is at the end of the road on the left-hand side and opposite the library.
...................................................................
3. The library is at the end of the road, on the right-hand side and opposite the bank.
………………………………………………………………….
4. The post office is on the left-hand side, opposite the cinema and next to the bank.
………………………………………………………………………
5. The school is on the left-hand side, opposite the concert hall and next to the post office.
………………………………………………………………………..
6. The theatre is on the left-hand side, next to the school and opposite the hotel.
………………………………………………………………………
7. The town hall is on the left-hand side, next to the theatre and opposite the shopping centre.
……………………………………………………………………..
8. The restaurant is between the town hall and the church / mosque/ temple on the left-hand side.
……………………………………………………………………
9. The church / mosque / temple is between the restaurant and the café on the left-hand side. ……………………………………………………………………..
10. The café is the first building on the left, next to the church / mosque/ temple.
……………………………………………………………………….
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
เฉลย
แบบฝึกหัด จงเขียนประโยคต่อไปนี้เป็นภาษาไทย
1. สถานีรถไฟอยู่สุดถนน ระหว่างธนาคารและห้องสมุด
2. ธนาคารอยู่สุดถนน ด้านซ้ายและตรงข้ามห้องสมุด
3. ห้องสมุดอยู่สุดถนน ทางขวามือ และตรงข้ามธนาคาร
4. ไปรษณีย์อยู่ทางซ้ายมือ ตรงข้ามโรงหนังและติดกับธนาคาร
5. โรงเรียนอยู่ทางซ้ายมือ ตรงข้ามสถานที่แสดงดนตรีและติดกับไปรษณีย์
6. โรงละครอยู่ทางซ้ายมือ ติดกับโรงเรียนและตรงข้ามกับโรงแรม
7. ศาลากลางอยู่ทางซ้ายมือ ติดกับโรงละคร ตรงข้ามศูนย์สรรพสินค้า
8. ภัตตาคารอยู่ระหว่างศาลากลางและโบสถ์ / สุเหร่า / วัด ทางซ้ายมือ
9. โบสถ์ / สุเหร่า / วัด อยู่ระหว่างห้างภัตตาคารและร้านกาแฟทางขวามือ
10. ร้านกาแฟเป็นอาคารแรกทางซ้าย ติดกับโบสถ์ สุเหร่า วัด
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
แบบฝึกหัด จงแปลประโยคภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ
1. โรงหนังอยู่ทางขวา ติดกับหอสมุดและตรงข้ามที่ทำการไปรษณีย์
2. สถานที่แสดงดนตรีอยู่ระหว่างโรงหนังและโรงแรมทางด้านขวาของถนน
3. โรงแรมอยู่ติดกับสถานที่แสดงดนตรี ทางขวาและตรงข้ามโรงละคร
4. ศูนย์การค้าอยู่ตรงข้ามศาลากลาง ด้านขวาและตรงข้ามโรงละคร
5. ร้านเหล้าอยู่ติดกับศูนย์การค้าและตรงข้ามร้านอาหาร
6. โรงพยาบาลอยู่ทางขวา ระหว่างร้านเหล้าและสถานีตำรวจ
7. สถานีตำรวจเป็นอาคารแรกทางขวามือ หน้าสนามฟุตบอล ติดกับโรงพยาบาลตรงข้ามร้านกาแฟ
8. สระว่ายน้ำอยู่หลังโรงเรียนและติดกับลานสเก็ต
9. ลานสเก็ตอยู่ติดกับสระว่ายน้ำและอยู่หลังโรงละคร
10. สถานีรถอยู่หลังโบสถ์ สุเหร่า วัด คิดกับสวนสาธารณะ
11. สวนสาธารณะอยู่หลังร้านกาแฟติดกับสถานีรถประจำทาง
12. คุกอยู่หลังธนาคารและอยู่ทางซ้าย
13. สนามกีฬาอยู่ทางซ้าย หลังสถานที่แสดงดนตรี
14. สถานที่ทำงานอยู่หลังโรงหนังและติดกับสนามกีฬา
15. ที่จอดรถอยู่ทางขวา หลังศูนย์การค้า
16. สนามฟุตบอลอยู่ทางขวา หลังสถานีตำรวจ
17. ตลาดอยู่กลางถนน
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
เฉลย
1. The cinema is on the right, next to the library and opposite the post office.
2. The concert hall is between the cinema and the hotel on the right of the street.
3. The hotel is next to the concert hall, on the right and opposite the theatre.
4. The shopping centre is opposite the town hall and in front of the car park.
5. The pub is next to the shopping centre and opposite the restaurant.
6. The hospital is on the right, between the pub and the police station.
7. The police station is the first building on the right, in front of the football ground, next to the hospital opposite the café.
8. The swimming pool is behind the school and next to the skating rink.
9. The skating rink is next to the swimming pool and behind the theatre.
10. The bus station is behind the church / mosque /temple and next to the park.
11. The park is behind the café and next to the bus station.
12. The prison is behind the bank and on the left.
13. The sports stadium is on the right, behind the concert hall.
14. The office building is behind the cinema and next to the sports stadium.
15. The car park is on the right, behind the shopping centre.
16. The football ground is on the right, behind the police station.
17. The market is in the middle of the street.
ตัดตอนมาจากหนังสือคัมภีร์การเขียนพื้นฐาน
ส่วนนี้จะเป็นการนำเสนอที่ตั้งของสถานที่ต่างๆที่น่ารู้ เพราะการอยู่ในเมือง ก็ต้องเจอสถานที่เหล่านี้ ยิ่งฝรั่งมังค่ามาถามจะได้บอกเขาถูก ไม่ใช่ (หนูไม่รู้ลูกเดียว) I don’t know. แล้วหนูจะรู้เมื่อไร ถึงเวลาที่ต้องเรียนรู้แล้วหนูๆ ถามว่ามันสำคัญมากไหม มันก็ไม่สำคัญมากเท่ากับข้าวปลาอาหารเครื่องนุ่งห่มและยารักษาโรคหรอก แต่ถ้ารู้ไว้ มันจะเป็นการดีกว่าไหมล่ะ เรียกว่าใครอ่านจบทำจบตามคำแนะนำ จากนี้ไป ก็ไม่ต้องกลัวว่า ฝรั่งหรือคนต่างชาติจะหลง เราจะสามารถจัดการได้
สำนวนเกี่ยวกับที่ตั้งของสถานที่ต่างๆ
at the end of the road, แอ็ท ดิ เอ็น อ๊อฝ เดอะ โร๊ด ใช้บรรยายว่า สุดถนน
สำนวนที่สอง between the…and the…, บี-ทะวีน เดอะ ชื่อสถานที่หรือถนน แอน เดอะ + ชื่อสถานที่หรือถนน แปลว่า อยู่ระหว่าง …..และ……
on the right-hand side ออน เดอะ ไร๊ท์ ซายด์ อยู่ทางด้านขวา
on the left-hand side ออน เดอะ เล๊ฝ ซายด์ อยู่ทางด้านซ้าย เช่น The bank is on the left-hand side.= ธนาคารอยู่ทางด้านซ้ายแต่อาจจะไม่ต้องบอกว่าอยู่ด้านซ้ายของอะไรเพียงแค่ต้องการบอกว่าอยู่ทางด้านซ้ายมือ
on the right of ออน เดอะ ไร๊ท์ ซายด์ อ๊อฝ อยู่ทางด้านซ้ายของ เช่น
The bank is on the right of the school.
= ธนาคารอยู่ทางขวาของโรงเรียน
on the left of ออน เดอะ เล๊ฝ อ๊อฝ อยู่ทางด้านซ้ายของ สำนวนนี้จะมีสถานทีที่ผู้บรรยายต้องการบอกตามมาด้วย เช่น
The bank is on the left of the school.
= ธนาคารอยู่ทางซ้ายของโรงเรียน
opposite อ๊าฝเผอะซิท ตรงข้ามกับ หรือ across from เออะ คร๊อส ฟรอม เช่น
The post office is opposite / across from the convenience store.
= ไปรษณีย์อยู่ตรงข้ามกับร้านสะดวกซื้อ
behind เบอะฮาย อยู่ข้างหลังของ หรือ at the back of แอ็ท เดอะ แบ๊ค เขิฝ อยู่ด้านหลังของ เช่น
The bank is behind the hospital.
= ธนาคารอยู่หลังโรงพยาบาล
The bank is at the back of the hospital.
in front of อิน ฟร๊อน เถิฝ อยู่ข้างหน้าเช่น
The bank is in front of the mall.
= ธนาคารอยู่ข้างหน้าห้าง
next to เน๊กส์ เถอะ อยู่ถัดจากหรืออยู่ติดกับ เช่น
The bank is next to the school.
= ธนาคารอยู่ติดกับโรงเรียน
สถานที่
1. the railway station เดอะ เรลเวย์ สะเตเชิ่น สถานีรถไฟ
2. the bank เดอะ แบ๊งค์ ธนาคาร
3. the library เดอะ ลายแบรี่ ห้องสมุด
4. the post office เดอะ โพส อ๊าฝฟิส ที่ทำการไปรษณีย์
5. the school เดอะ สะกูล โรงเรียน
6. the theatre เดอะ เธียร์เท่อร์ โรงละคร
7. the town hall เดอะ ทาวน์ ฮอล ศาลากลาง
8. the restaurant เดอะ เร๊สเตอรอง ภัตตาคาร
9. the church เดอะ เชิร์ช โบสถ์
10. the mosque เดอะ มอสค์ สุเหร่า
11. the temple เดอะ เท็มเพิ้ล วัดไทย
12. the café เดอะ แคเฟ่ ร้านกาแฟ
13. the cinema เดอะ ซิเหนอะเมอ โรงภาพยนตร์
14. the concert hall เดอะ คานเสิร์ท ฮอล สถานที่แสดงดนตรี
15. the hotel เดอะ โฮ เทล โรงแรม
16. the shopping centre เดอะ ช๊าพเพิ้ล เซ็นเท่อร์ ศูนย์กลางค้า
17. the pub เดอะ ผับ ทื่ดื่มเหล้า
18. the hospital เดอะ ฮาสเผอะเทิล โรงพยาบาล
19. the police station เดอะ เพอลิส สะเตเชิ่น โรงพัก
20. the swimming pool เดอะ สะวิมมิ่ง พูล สระว่ายน้ำ
21. the skating rink เดอะ สะเก็ตทิ่ง ลิ๊งค์ ลานสเก็ต
22. the bus terminal เดอะ บัส เทอร์มิเนิล สถานีขนส่ง
23. the bus station เดอะ บัส สะเตเชิ่น สถานีขนส่งรถประจำทาง
24.the bus stop เดอะ บัส สะต๊าพ ป้ายรถ
25. the park เดอะ พาร์ค สวนสาธารณะ
26.the prison เดอะ พริเซิ่น คุก
27.the sports stadium เดอะ สะปอร์ท สะเตเดี่ยม สนามกีฬา
28.the office building ดิ อ๊าฝฟิส บิลดิ้ง ที่ทำงาน
29. the car park เดอะ คาร์ พาร์ค the parking lot เดอะ พาร์คิ่ง ล๊าท = ที่จอดรถ
30.the football ground / field เดอะ ฟุ๊ทบอล กราวด์ หรือ ฟีลด์ สนามกีฬา
31.the market เดอะ มาร์เกิท ตลาด
32. the playhouse เดอะ เพล เฮ๊าส์ โรงละคร
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
แบบฝึกหัด จงเขียนประโยคต่อไปนี้เป็นภาษาไทย
1. The railway station is at the end of the road, between the bank and the library.
……………………………………………………………..
2. The bank is at the end of the road on the left-hand side and opposite the library.
...................................................................
3. The library is at the end of the road, on the right-hand side and opposite the bank.
………………………………………………………………….
4. The post office is on the left-hand side, opposite the cinema and next to the bank.
………………………………………………………………………
5. The school is on the left-hand side, opposite the concert hall and next to the post office.
………………………………………………………………………..
6. The theatre is on the left-hand side, next to the school and opposite the hotel.
………………………………………………………………………
7. The town hall is on the left-hand side, next to the theatre and opposite the shopping centre.
……………………………………………………………………..
8. The restaurant is between the town hall and the church / mosque/ temple on the left-hand side.
……………………………………………………………………
9. The church / mosque / temple is between the restaurant and the café on the left-hand side. ……………………………………………………………………..
10. The café is the first building on the left, next to the church / mosque/ temple.
……………………………………………………………………….
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
เฉลย
แบบฝึกหัด จงเขียนประโยคต่อไปนี้เป็นภาษาไทย
1. สถานีรถไฟอยู่สุดถนน ระหว่างธนาคารและห้องสมุด
2. ธนาคารอยู่สุดถนน ด้านซ้ายและตรงข้ามห้องสมุด
3. ห้องสมุดอยู่สุดถนน ทางขวามือ และตรงข้ามธนาคาร
4. ไปรษณีย์อยู่ทางซ้ายมือ ตรงข้ามโรงหนังและติดกับธนาคาร
5. โรงเรียนอยู่ทางซ้ายมือ ตรงข้ามสถานที่แสดงดนตรีและติดกับไปรษณีย์
6. โรงละครอยู่ทางซ้ายมือ ติดกับโรงเรียนและตรงข้ามกับโรงแรม
7. ศาลากลางอยู่ทางซ้ายมือ ติดกับโรงละคร ตรงข้ามศูนย์สรรพสินค้า
8. ภัตตาคารอยู่ระหว่างศาลากลางและโบสถ์ / สุเหร่า / วัด ทางซ้ายมือ
9. โบสถ์ / สุเหร่า / วัด อยู่ระหว่างห้างภัตตาคารและร้านกาแฟทางขวามือ
10. ร้านกาแฟเป็นอาคารแรกทางซ้าย ติดกับโบสถ์ สุเหร่า วัด
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
แบบฝึกหัด จงแปลประโยคภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ
1. โรงหนังอยู่ทางขวา ติดกับหอสมุดและตรงข้ามที่ทำการไปรษณีย์
2. สถานที่แสดงดนตรีอยู่ระหว่างโรงหนังและโรงแรมทางด้านขวาของถนน
3. โรงแรมอยู่ติดกับสถานที่แสดงดนตรี ทางขวาและตรงข้ามโรงละคร
4. ศูนย์การค้าอยู่ตรงข้ามศาลากลาง ด้านขวาและตรงข้ามโรงละคร
5. ร้านเหล้าอยู่ติดกับศูนย์การค้าและตรงข้ามร้านอาหาร
6. โรงพยาบาลอยู่ทางขวา ระหว่างร้านเหล้าและสถานีตำรวจ
7. สถานีตำรวจเป็นอาคารแรกทางขวามือ หน้าสนามฟุตบอล ติดกับโรงพยาบาลตรงข้ามร้านกาแฟ
8. สระว่ายน้ำอยู่หลังโรงเรียนและติดกับลานสเก็ต
9. ลานสเก็ตอยู่ติดกับสระว่ายน้ำและอยู่หลังโรงละคร
10. สถานีรถอยู่หลังโบสถ์ สุเหร่า วัด คิดกับสวนสาธารณะ
11. สวนสาธารณะอยู่หลังร้านกาแฟติดกับสถานีรถประจำทาง
12. คุกอยู่หลังธนาคารและอยู่ทางซ้าย
13. สนามกีฬาอยู่ทางซ้าย หลังสถานที่แสดงดนตรี
14. สถานที่ทำงานอยู่หลังโรงหนังและติดกับสนามกีฬา
15. ที่จอดรถอยู่ทางขวา หลังศูนย์การค้า
16. สนามฟุตบอลอยู่ทางขวา หลังสถานีตำรวจ
17. ตลาดอยู่กลางถนน
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
เฉลย
1. The cinema is on the right, next to the library and opposite the post office.
2. The concert hall is between the cinema and the hotel on the right of the street.
3. The hotel is next to the concert hall, on the right and opposite the theatre.
4. The shopping centre is opposite the town hall and in front of the car park.
5. The pub is next to the shopping centre and opposite the restaurant.
6. The hospital is on the right, between the pub and the police station.
7. The police station is the first building on the right, in front of the football ground, next to the hospital opposite the café.
8. The swimming pool is behind the school and next to the skating rink.
9. The skating rink is next to the swimming pool and behind the theatre.
10. The bus station is behind the church / mosque /temple and next to the park.
11. The park is behind the café and next to the bus station.
12. The prison is behind the bank and on the left.
13. The sports stadium is on the right, behind the concert hall.
14. The office building is behind the cinema and next to the sports stadium.
15. The car park is on the right, behind the shopping centre.
16. The football ground is on the right, behind the police station.
17. The market is in the middle of the street.
ตัดตอนมาจากหนังสือคัมภีร์การเขียนพื้นฐาน
When there’s a disappointment
When there’s a disappointment,
I don’t know if
it’s the end of the story.
But it may be
just the beginning of ...
a great adventure.
Pema Chodron
I don’t know if
it’s the end of the story.
But it may be
just the beginning of ...
a great adventure.
Pema Chodron
เมื่อมีความผิดหวังเกิดขึ้น เราไม่รู้หรอกว่ามันเป็นการจบของเรื่องนั้นหรืออาจเป็นการเริ่มต้นของการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ก็เป็นได้
เมื่อยามใด ที่ใจเรา นั้นผิดหวัง
ทุกสิ่งยัง ไม่เป็นไป ตามใจหมาย
อาจจะเป็น ตอนจบ ของความตาย
หรืออาจเป็น การเริ่มใหม่ ที่งดงาม
ศัพท์สำนวน
A disappointment = ความผิดหวัง
กริยา to disappoint + someone = ทำให้ผิดหวัง
To be disappointed in + คนใดคนหนึ่งหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง = รู้สึกผิดหวังในสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือคนใดคนหนึ่ง เช่น
I am disappointed in my son.
= ฉันผิดหวังในตัวลูก
The concert is very disappointing.
= งานแสดงดนตรีนั้นน่าผิดหวังมาก
สำนวนI don’t know if + ประธาน กริยา = ฉันไม่รู้หรอกว่า….. หรือเปล่า
ตัวอย่าง I don’t know if you can come.
= ฉันไม่รู้หรอกว่าคุณจะสามารถมาได้หรือเปล่า
I don’t know if I am right. = ฉันไม่รู้หรอกว่าฉันนั้นเป็นฝ่ายถูกหรือเปล่า
The end of the story = ตอนจบของเรื่อง
สำนวน the end of เรื่องใดเรื่องหนึ่ง หมายถึง ตอนจบของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ส่วนตอนเริ่มต้นก็คือ the beginning of สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น
It is the beginning of her marriage life.
= เป็นเพียงการเริ่มต้นของชีวิตการแต่งงานของเธอ
It’s just the beginning of the trip.
= เป็นเพียงการเริ่มต้นของการเดินทางเท่านั้น
เมื่อยามใด ที่ใจเรา นั้นผิดหวัง
ทุกสิ่งยัง ไม่เป็นไป ตามใจหมาย
อาจจะเป็น ตอนจบ ของความตาย
หรืออาจเป็น การเริ่มใหม่ ที่งดงาม
ศัพท์สำนวน
A disappointment = ความผิดหวัง
กริยา to disappoint + someone = ทำให้ผิดหวัง
To be disappointed in + คนใดคนหนึ่งหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง = รู้สึกผิดหวังในสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือคนใดคนหนึ่ง เช่น
I am disappointed in my son.
= ฉันผิดหวังในตัวลูก
The concert is very disappointing.
= งานแสดงดนตรีนั้นน่าผิดหวังมาก
สำนวนI don’t know if + ประธาน กริยา = ฉันไม่รู้หรอกว่า….. หรือเปล่า
ตัวอย่าง I don’t know if you can come.
= ฉันไม่รู้หรอกว่าคุณจะสามารถมาได้หรือเปล่า
I don’t know if I am right. = ฉันไม่รู้หรอกว่าฉันนั้นเป็นฝ่ายถูกหรือเปล่า
The end of the story = ตอนจบของเรื่อง
สำนวน the end of เรื่องใดเรื่องหนึ่ง หมายถึง ตอนจบของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ส่วนตอนเริ่มต้นก็คือ the beginning of สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น
It is the beginning of her marriage life.
= เป็นเพียงการเริ่มต้นของชีวิตการแต่งงานของเธอ
It’s just the beginning of the trip.
= เป็นเพียงการเริ่มต้นของการเดินทางเท่านั้น
ศัพท์เกี่ยวกับอาหาร
ศัพท์เกี่ยวกับอาหาร
คุณรู้ไหมว่า เวลาเราพาฝรั่งไปทานข้าวไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือลูกค้าทั้งสำคัญและไม่สำคัญ ปัญหาที่คนไทยเจอะเจอมากก็คือ ไม่รู้จะบรรยายอีท่าไหนดีเพราะสิ่งที่เรามี เขาไม่มี และยิ่งเป็นเรื่องการกินด้วยแล้ว คนไทยเองยังงงแต่อย่างไรก็ตาม เราก็น่าจะมีความรู้อะไรติดตัวไว้สักเล็กน้อย จะบอกเอาเฉพาะเนื้อๆก็ได้เช่น ผัดกระเพราไก่ ก็ใช้ว่า rice fried with chicken and basil
หรือต้องการจะบอกว่า ผัดกระเพรากุ้ง ลาดไข่ดาว ก็สามารถพูดได้ว่า rice fried with shrimp and basil with one-sunny side on top แบบนี้ มาแบบเต็มยศ บางคนสงสัยว่า แล้วถ้าไม่เอาข้าวลงไปผัด จะพูดยังไง ก็ประยุกต์นี่ไง shrimps fried with basil and one-sunny side on top of rice. = ผัดกระเพราลาดข้าว
น้ำพริกแกงเผ็ด = red curry paste
น้ำพริกเผา = roasted chili paste
น้ำพริกแกงเขียวหวาน = green curry paste
น้ำพริกแกงมัสมั่น = Mussaman curry paste
น้ำพริกที่เอากินได้บนสำรับใช้ “dip” ให้หมด ส่วนน้ำพริกที่นำมาปรุงอาหารใช้ “paste”
น้ำพริกไก่เค็ม = salted egg dip
น้ำพริกอ่อน = green peppercorn dip
น้ำพริกกะปิ = shrimp paste and chili dip
น้ำพริกหนุ่ม = green chili dip
น้ำพริกปลาย่าง = dip with grilled fish
เต้าเจี้ยวหลน = soy bean and coconut milk dip
กะปิคั่ว = shrimp paste and coconut dip
น้ำพริกอ่อง = pork and tomato chili dip
เมี่ยงคำ = leaf-wrapped savories
กระทงทอง = patty shells with minced chicken
ต้มยำกุ้ง = spicy shrimp soup with lemon grass
โป๊ะแตก = spicy seafood soup
ต้มยำไก่ = spicy chicken soup with coconut milk
แกงจืดวุ้นเส้น = clear soup with glass noodles
แกงส้ม = sour soup with vegetables and shrimp
ผัดไทยกุ้งสด = fried rice noodles with shrimp
ก๋วยเตี๋ยวผัดขี้เมาทะเล = fresh rice-flour noodles with seafood and basil
ข้าวซอย = northern-style chicken noodle soup
ก๋วยเตี๋ยวเนื้อสับ = fresh rice-flour noodles with minced beef
ขนมจีนน้ำยา = rice noodles with fish curry sauce
ส้มตำไทย = green papaya salad
ยำส้มโอ = spicy pomelo salad
ปลานึ่งมะเขืออ่อน = beef salad with eggplant
ผัดผักรวมมิตร = fried mixed vegetables
คะน้าหมูกรอบ = kale with crispy pork
ปลาหมึกทอด = fried squid with garlic
ฉู่ฉี่กุ้งเล = sautéed shrimp with chili
กุ้งเผา = charcoal-grilled prawns with sweet sauce
ปูอบวุ้นเส้น = casseroled crabs with glass noodles
หอยแมลงภู่อบ = steamed mussels
ทอดมันกุ้ง = deep-fried shrimp cake
จาด หรือ เครื่องเคียง the accompaniment
ปูจ๋า = deep-fried stuffed crab shell
หอยลายผัดเผ็ด = friend clams in roasted chili paste
ห่อหมกทะเล = steamed seafood cakes
ปลาช่อนผัดพริกขิง = crispy fish with red curry sauce
ปลาเนื้ออ่อนกับน้ำจิ้มพริกศรีราชา = river fish with chili sauce
ปลาสำลีแดดเดียว = deep-fried fish with mango salad
ไก่ยัดไส้ = savory stuffed omelets
แกงเขียวหวาน = green chicken curry
ไก่ห่อใบเตย = chicken fried in pandan leaves
ไก่ย่าง = barbecued chicken
แกงเผ็ดไก่หน่อไม้ = red chicken curry with bamboo shoots
แกงเป็ด = roast duck curry
คอหมูย่าง = pork neck with chili sauce
แกงเผ็ดหมู = red pork curry
พะแนงเนื้อ = dry beef curry
ทับทิมกรอบ = tiny diced water chestnuts (served in sweetened coconut milk)
กล้วยบวชชี = bananas in coconut milk
ฟักทองสังขยา = pumpkin custard
บัวลอย = rice balls in coconut milk
กล้วยทอด = deep-fried bananas
ข้าวต้มมัด = bananas in glutinous rice
ค่อยๆจดค่อยๆจำไป มีโอกาสเมื่อไร ก็งัดเอามาใช้ ต้องพยายามใช้บ่อยๆ ขอให้โชคดี
คุณรู้ไหมว่า เวลาเราพาฝรั่งไปทานข้าวไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือลูกค้าทั้งสำคัญและไม่สำคัญ ปัญหาที่คนไทยเจอะเจอมากก็คือ ไม่รู้จะบรรยายอีท่าไหนดีเพราะสิ่งที่เรามี เขาไม่มี และยิ่งเป็นเรื่องการกินด้วยแล้ว คนไทยเองยังงงแต่อย่างไรก็ตาม เราก็น่าจะมีความรู้อะไรติดตัวไว้สักเล็กน้อย จะบอกเอาเฉพาะเนื้อๆก็ได้เช่น ผัดกระเพราไก่ ก็ใช้ว่า rice fried with chicken and basil
หรือต้องการจะบอกว่า ผัดกระเพรากุ้ง ลาดไข่ดาว ก็สามารถพูดได้ว่า rice fried with shrimp and basil with one-sunny side on top แบบนี้ มาแบบเต็มยศ บางคนสงสัยว่า แล้วถ้าไม่เอาข้าวลงไปผัด จะพูดยังไง ก็ประยุกต์นี่ไง shrimps fried with basil and one-sunny side on top of rice. = ผัดกระเพราลาดข้าว
น้ำพริกแกงเผ็ด = red curry paste
น้ำพริกเผา = roasted chili paste
น้ำพริกแกงเขียวหวาน = green curry paste
น้ำพริกแกงมัสมั่น = Mussaman curry paste
น้ำพริกที่เอากินได้บนสำรับใช้ “dip” ให้หมด ส่วนน้ำพริกที่นำมาปรุงอาหารใช้ “paste”
น้ำพริกไก่เค็ม = salted egg dip
น้ำพริกอ่อน = green peppercorn dip
น้ำพริกกะปิ = shrimp paste and chili dip
น้ำพริกหนุ่ม = green chili dip
น้ำพริกปลาย่าง = dip with grilled fish
เต้าเจี้ยวหลน = soy bean and coconut milk dip
กะปิคั่ว = shrimp paste and coconut dip
น้ำพริกอ่อง = pork and tomato chili dip
เมี่ยงคำ = leaf-wrapped savories
กระทงทอง = patty shells with minced chicken
ต้มยำกุ้ง = spicy shrimp soup with lemon grass
โป๊ะแตก = spicy seafood soup
ต้มยำไก่ = spicy chicken soup with coconut milk
แกงจืดวุ้นเส้น = clear soup with glass noodles
แกงส้ม = sour soup with vegetables and shrimp
ผัดไทยกุ้งสด = fried rice noodles with shrimp
ก๋วยเตี๋ยวผัดขี้เมาทะเล = fresh rice-flour noodles with seafood and basil
ข้าวซอย = northern-style chicken noodle soup
ก๋วยเตี๋ยวเนื้อสับ = fresh rice-flour noodles with minced beef
ขนมจีนน้ำยา = rice noodles with fish curry sauce
ส้มตำไทย = green papaya salad
ยำส้มโอ = spicy pomelo salad
ปลานึ่งมะเขืออ่อน = beef salad with eggplant
ผัดผักรวมมิตร = fried mixed vegetables
คะน้าหมูกรอบ = kale with crispy pork
ปลาหมึกทอด = fried squid with garlic
ฉู่ฉี่กุ้งเล = sautéed shrimp with chili
กุ้งเผา = charcoal-grilled prawns with sweet sauce
ปูอบวุ้นเส้น = casseroled crabs with glass noodles
หอยแมลงภู่อบ = steamed mussels
ทอดมันกุ้ง = deep-fried shrimp cake
จาด หรือ เครื่องเคียง the accompaniment
ปูจ๋า = deep-fried stuffed crab shell
หอยลายผัดเผ็ด = friend clams in roasted chili paste
ห่อหมกทะเล = steamed seafood cakes
ปลาช่อนผัดพริกขิง = crispy fish with red curry sauce
ปลาเนื้ออ่อนกับน้ำจิ้มพริกศรีราชา = river fish with chili sauce
ปลาสำลีแดดเดียว = deep-fried fish with mango salad
ไก่ยัดไส้ = savory stuffed omelets
แกงเขียวหวาน = green chicken curry
ไก่ห่อใบเตย = chicken fried in pandan leaves
ไก่ย่าง = barbecued chicken
แกงเผ็ดไก่หน่อไม้ = red chicken curry with bamboo shoots
แกงเป็ด = roast duck curry
คอหมูย่าง = pork neck with chili sauce
แกงเผ็ดหมู = red pork curry
พะแนงเนื้อ = dry beef curry
ทับทิมกรอบ = tiny diced water chestnuts (served in sweetened coconut milk)
กล้วยบวชชี = bananas in coconut milk
ฟักทองสังขยา = pumpkin custard
บัวลอย = rice balls in coconut milk
กล้วยทอด = deep-fried bananas
ข้าวต้มมัด = bananas in glutinous rice
ค่อยๆจดค่อยๆจำไป มีโอกาสเมื่อไร ก็งัดเอามาใช้ ต้องพยายามใช้บ่อยๆ ขอให้โชคดี
We are not given
We are not given a good life or a bad life.
We are given life.
And it’s up to you to make it good or bad.’
เบื้องบนไม่ได้ให้ชีวิตที่ดีหรือเลวมาให้ ...
เขาให้มาแค่ชีวิต ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณแล้วล่ะว่า
จะทำให้ชีวิตที่เขาให้มานั้นดีหรือเลว
ข้อความนี้ดีมากแต่อาจะไม่มีสำนวนอะไรให้พูดถึงมาก
We are given life.
And it’s up to you to make it good or bad.’
เบื้องบนไม่ได้ให้ชีวิตที่ดีหรือเลวมาให้ ...
เขาให้มาแค่ชีวิต ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณแล้วล่ะว่า
จะทำให้ชีวิตที่เขาให้มานั้นดีหรือเลว
ข้อความนี้ดีมากแต่อาจะไม่มีสำนวนอะไรให้พูดถึงมาก
เราทุกคน ได้รับมา หนึ่งชีวิต
เราลิขิต ให้ดีชั่ว ตามใจได้
จะทุกข์มาก หรือสุขน้อย ก็ตามใจ
คุณเลือกได้ จะทำให้ ดีหรือเลว
สำนวน
It’s up to + สิ่วใดหรือคนใด ก็จะหมายถึง แล้วแต่หรือขึ้นอยู่กับคนนั้น เช่น
It’s up to the teacher to let her pass or fail the test.
= ก็แล้วแต่ว่าครูจะให้ผ่านหรือให้ตก
It’s up to you. สำนวนนี้ใช้เมื่อเราต้องการจะบอกว่า ให้คนๆนั้นเป็นคนตัดสินใจในเรื่องนั้นๆ
It’s up to you to choose good things or bad things for your life.
= ก็แล้วแต่แกก็แล้วกัน จะเลือกสิ่งดีๆหรือสิ่งแย่ๆให้ชีวิต (ตรูไม่ขอยุ่งแล้ว)
เวลาเราจะเตือนเพื่อน เราก็มักจะเกริ่นนำว่า เห็นไหม บอกแล้วไม่เชื่อ จากนี้ไปจะไม่ยุ่งอะไรแล้ว แล้วแต่แก
See what’s happened? เห็นไหมว่าเกิดอะไรขึ้น I’ve told you. (I’ve warned you!) เตือนแล้ว From now on, it is up to you. ต่อแต่นี้ไป แล้วแต่แก
คุณๆสามารถนำเอาคำพูดทั้งหมดไปใช้ได้เลยเพราะมันคือความจริงของชีวิต
เราลิขิต ให้ดีชั่ว ตามใจได้
จะทุกข์มาก หรือสุขน้อย ก็ตามใจ
คุณเลือกได้ จะทำให้ ดีหรือเลว
สำนวน
It’s up to + สิ่วใดหรือคนใด ก็จะหมายถึง แล้วแต่หรือขึ้นอยู่กับคนนั้น เช่น
It’s up to the teacher to let her pass or fail the test.
= ก็แล้วแต่ว่าครูจะให้ผ่านหรือให้ตก
It’s up to you. สำนวนนี้ใช้เมื่อเราต้องการจะบอกว่า ให้คนๆนั้นเป็นคนตัดสินใจในเรื่องนั้นๆ
It’s up to you to choose good things or bad things for your life.
= ก็แล้วแต่แกก็แล้วกัน จะเลือกสิ่งดีๆหรือสิ่งแย่ๆให้ชีวิต (ตรูไม่ขอยุ่งแล้ว)
เวลาเราจะเตือนเพื่อน เราก็มักจะเกริ่นนำว่า เห็นไหม บอกแล้วไม่เชื่อ จากนี้ไปจะไม่ยุ่งอะไรแล้ว แล้วแต่แก
See what’s happened? เห็นไหมว่าเกิดอะไรขึ้น I’ve told you. (I’ve warned you!) เตือนแล้ว From now on, it is up to you. ต่อแต่นี้ไป แล้วแต่แก
คุณๆสามารถนำเอาคำพูดทั้งหมดไปใช้ได้เลยเพราะมันคือความจริงของชีวิต
คำอวยพรวันเกิดเพื่อน
คำอวยพรวันเกิดเพื่อน
บางครั้ง เราต้องการอวยพรวันเกิดเพื่อน แต่ไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดใดที่จะทำให้เพื่อนเห็นคุณค่าของวันเกิดนั้น การใช้ข้อความดีๆ ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่สามารถทำได้ และให้คุณค่าได้ไม่แพ้กัน ลองอ่านคำกลอนข้างล่างนี้ดู คุณอาจจะนำไปประยุกต์ใช้ได้
For my special friend.
It’s your birthday....
May happiness be with you
Always and forever.
บางครั้ง เราต้องการอวยพรวันเกิดเพื่อน แต่ไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดใดที่จะทำให้เพื่อนเห็นคุณค่าของวันเกิดนั้น การใช้ข้อความดีๆ ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่สามารถทำได้ และให้คุณค่าได้ไม่แพ้กัน ลองอ่านคำกลอนข้างล่างนี้ดู คุณอาจจะนำไปประยุกต์ใช้ได้
For my special friend.
It’s your birthday....
May happiness be with you
Always and forever.
วันเกิดเพื่อน คนพิเศษ มาบรรจบ
ขอให้พบ แต่ความสุข ความสดใส
ทั้งวันนี้ วันหน้า หรือวันใด
ให้หัวใจ เปี่ยมแต่สุข ทุกข์ไม่กราย
คำอธิบายเพิ่มเติม
คำว่า special นั่น หมายถึง พิเศษ เช่น คนพิเศษ คืนพิเศษ หรือสิ่งใดที่เป็นพิเศษ
You are so special to me.
= คุณคือคนพิเศษมากสำหรับฉัน
I know you have someone special.
= ฉันรู้นะว่าเธอมีคนพิเศษ หรือ
There is nothing special.
= ไม่มีอะไรพิเศษหรอก
I have something very special for you.
= มีอะไรพิเศษมากจะให้
คำนี้เมื่อนำมาบรรยายคำนามก็จะหมายถึง พิเศษ เช่น
on special occasions = ในโอกาสพิเศษ
my special friend.= เพื่อนคนพิเศษ
คำว่า special นั้นสามารถใช้ในรูปของคำนามได้ หมายถึง สิ่งที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ เช่น
Our special today is salmon.
= อาหารพิเศษของเราวันนี้คือ ปลาแซลมอน
There will be a TV special on the Asian Games.
= จะมีรายการพิเศษทางทีวีเกี่ยวกับกีฬาเอเชี่ยน
โครงสร้างที่ใช้ในการอวยพรก็คือ May …..สิ่งที่ดีๆ…..+ be with + คนที่เราอวยพร เช่น
May good luck be with you.
= ขออวยพรให้เธอโชคดี เป็นต้น
ส่วนสำนวน always and foreverนั้นเป็นการเน้นว่า ขอให้สิ่งนั้นอยู่กับคนๆนั้นเสมอและตลอดไป เช่น
I will love you always and forever.
= ฉันจะรักเธอเสมอและตลอดไป
ขอให้พบ แต่ความสุข ความสดใส
ทั้งวันนี้ วันหน้า หรือวันใด
ให้หัวใจ เปี่ยมแต่สุข ทุกข์ไม่กราย
คำอธิบายเพิ่มเติม
คำว่า special นั่น หมายถึง พิเศษ เช่น คนพิเศษ คืนพิเศษ หรือสิ่งใดที่เป็นพิเศษ
You are so special to me.
= คุณคือคนพิเศษมากสำหรับฉัน
I know you have someone special.
= ฉันรู้นะว่าเธอมีคนพิเศษ หรือ
There is nothing special.
= ไม่มีอะไรพิเศษหรอก
I have something very special for you.
= มีอะไรพิเศษมากจะให้
คำนี้เมื่อนำมาบรรยายคำนามก็จะหมายถึง พิเศษ เช่น
on special occasions = ในโอกาสพิเศษ
my special friend.= เพื่อนคนพิเศษ
คำว่า special นั้นสามารถใช้ในรูปของคำนามได้ หมายถึง สิ่งที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ เช่น
Our special today is salmon.
= อาหารพิเศษของเราวันนี้คือ ปลาแซลมอน
There will be a TV special on the Asian Games.
= จะมีรายการพิเศษทางทีวีเกี่ยวกับกีฬาเอเชี่ยน
โครงสร้างที่ใช้ในการอวยพรก็คือ May …..สิ่งที่ดีๆ…..+ be with + คนที่เราอวยพร เช่น
May good luck be with you.
= ขออวยพรให้เธอโชคดี เป็นต้น
ส่วนสำนวน always and foreverนั้นเป็นการเน้นว่า ขอให้สิ่งนั้นอยู่กับคนๆนั้นเสมอและตลอดไป เช่น
I will love you always and forever.
= ฉันจะรักเธอเสมอและตลอดไป
work
When two people care about each other,
they will always find a way to make it work.
No matter how hard it is.
หากทั้งสอง มั่นใจ ในรักแล้ว...
รักของเจ้า จะหาทาง จนสมหวัง
ไม่ว่ายาก สุดลำบาก เหลือกำลัง
รักจะทำ ทุกทุกอย่าง ให้เป็นจริง
they will always find a way to make it work.
No matter how hard it is.
หากทั้งสอง มั่นใจ ในรักแล้ว...
รักของเจ้า จะหาทาง จนสมหวัง
ไม่ว่ายาก สุดลำบาก เหลือกำลัง
รักจะทำ ทุกทุกอย่าง ให้เป็นจริง
สำนวน
To find a way to work = หาทางที่จะให้ประสบผลสำเร็จ
I will find a way to work. = ฉันจะหาทางหางานทำ
To make it work = ทำให้ลุล่วง
No matter how hard the assignment is , we are sure we can make it work.
= ไม่ว่างานที่มอบหมายนั้นจะยากเพียงใด เรามั่นใจว่าเราสามารถทำได้
To work = ได้ผล
Some people think I'm weird doing meditation, but it works for me and that's all that matters.
= บางคนคิดว่า ฉันแปลกประหลาดที่ทำสมาธิ แต่มันก็ได้ผลสำหรับฉัน นั่นแหละเป็นสิ่งสำคัญ
I think his ideas don’t work.
= ฉันคิดว่า ความคิดของเขาไม่ได้ผล
The sleeping pills will work in a couple of hours.
= ยานอนหลับจะได้ผลภายในสองชั่วโมง
No matter how + คำคุณศัพท์ หรือคำวิเศษณ์ + ประธาน + กริยา
No matter how long it is. ไม่ว่าจะยาวนานเพียงใด
No matter who you are. = ไม่ว่าเธอจะเป็นใคร
No matter how far it is = ไม่ว่าไกลเพียงใด
สำนวน no matter + what, when, why , how
= ไม่ว่าจะ.......
To find a way to work = หาทางที่จะให้ประสบผลสำเร็จ
I will find a way to work. = ฉันจะหาทางหางานทำ
To make it work = ทำให้ลุล่วง
No matter how hard the assignment is , we are sure we can make it work.
= ไม่ว่างานที่มอบหมายนั้นจะยากเพียงใด เรามั่นใจว่าเราสามารถทำได้
To work = ได้ผล
Some people think I'm weird doing meditation, but it works for me and that's all that matters.
= บางคนคิดว่า ฉันแปลกประหลาดที่ทำสมาธิ แต่มันก็ได้ผลสำหรับฉัน นั่นแหละเป็นสิ่งสำคัญ
I think his ideas don’t work.
= ฉันคิดว่า ความคิดของเขาไม่ได้ผล
The sleeping pills will work in a couple of hours.
= ยานอนหลับจะได้ผลภายในสองชั่วโมง
No matter how + คำคุณศัพท์ หรือคำวิเศษณ์ + ประธาน + กริยา
No matter how long it is. ไม่ว่าจะยาวนานเพียงใด
No matter who you are. = ไม่ว่าเธอจะเป็นใคร
No matter how far it is = ไม่ว่าไกลเพียงใด
สำนวน no matter + what, when, why , how
= ไม่ว่าจะ.......
Losing is not exhausting
Losing is not exhausting.
Things have to be both
getting and losing.
...
Things have to be both
getting and losing.
...
Flowing in the fate of life
like the current of tide.
เมื่อสูญเสีย ใจอย่าคิด ว่าสูญสิ้น
ทุกชีวิน มีโศกเศร้า มีสมหวัง
มีชนะ มีแพ้พ่าย ไม่จีรัง
หมุนเวียนดั่ง เส้นสายน้ำ ธารธารา
ศัพท์สำนวน
คำว่า exhaustingอ่านว่า อิ๊ก ซ๊อสทิ่ง นั้น หมายถึง ที่หมดแรง มีกริยาคือ to exhaust แปลว่า ทำให้เหนื่อย ทำให้หมดแรง
เช่น
Today is one of the most exhausting days because I have been working since 7 a.m.
= วันนี้เป็นวันที่น่าเหนื่อยที่สุดวันหนึ่งเพราะฉันทำงานมาตั้งแต่ 7 โมงเช้า
The trip to Chiangmai was quite exhausting because almost all popular tourist spots were crowded and the accommodation was quite bad.
= การเดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่คราวนี้เหนื่อยมากเพราะสถานที่ท่องเที่ยวเกือบทุกที่มีแต่คนเยอะแยะไปหมด และที่พักก็แย่มากด้วย
คำว่า exhausted นั้นเมื่อใช้บรรยายคน ก็จะหมายถึง หมดแรง เหนื่อยมาก เช่น
I am exhausted at the end of the week.
= ฉันหมดแรงทุกทีตอนวันสุดท้ายของสัปดาห์
After we completed the project, all of the employees were exhausted.
= หลังจากที่ทำโครงการเสร็จ พนักงานทั้งหมดหมดแรง
อย่าสับสนกับคำว่า exhaustive ซึ่งอาจจะมีลักษณะคล้ายคำที่กล่าวมา เพราะคำนี้หมายถึง ที่ละเอียด เช่น
The police have made an exhaustive investigation into the scandal.
= ตำรวจได้ทำการสืบสวนเรื่องอื้อฉาวอย่างละเอียด
We need an exhaustive study before making a decision.
= เราต้องการการศึกษาที่ละเอียดก่อนที่จะทำการตัดสินใจ
สำนวน the fate of life ก็คือ ชะตาชีวิต
ส่วน the current of tide ก็คือ กระแสน้ำ
คำว่า current นั้นคือ กระแส ซึ่งสามารถใช้บรรยายกระแสน้ำ กระแสลมหรือกระแสไฟได้ ตามสถานการณ์ต่างๆ เช่น
Strong currents can be very dangerous for tourists.
= กระแสน้ำแรงอาจจะเป็นอันตรายต่อนักท่องเที่ยวได้และคำๆนี้สามารถหมายถึงกระแสไฟก็ได้ เช่น
Electricians have to be careful when they deal with electricity.
= ช่างไฟต้องรอบคอบเวลาทำงานเกี่ยวกับกระแสไฟ
และคำนี้เองก็หมายถึง ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ด้วยเช่น
We need to keep ourselves updated with current news.
= เราต้องทำตัวเราให้ทันเหตุการณ์กับข่าวที่เกิดขึ้น
like the current of tide.
เมื่อสูญเสีย ใจอย่าคิด ว่าสูญสิ้น
ทุกชีวิน มีโศกเศร้า มีสมหวัง
มีชนะ มีแพ้พ่าย ไม่จีรัง
หมุนเวียนดั่ง เส้นสายน้ำ ธารธารา
ศัพท์สำนวน
คำว่า exhaustingอ่านว่า อิ๊ก ซ๊อสทิ่ง นั้น หมายถึง ที่หมดแรง มีกริยาคือ to exhaust แปลว่า ทำให้เหนื่อย ทำให้หมดแรง
เช่น
Today is one of the most exhausting days because I have been working since 7 a.m.
= วันนี้เป็นวันที่น่าเหนื่อยที่สุดวันหนึ่งเพราะฉันทำงานมาตั้งแต่ 7 โมงเช้า
The trip to Chiangmai was quite exhausting because almost all popular tourist spots were crowded and the accommodation was quite bad.
= การเดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่คราวนี้เหนื่อยมากเพราะสถานที่ท่องเที่ยวเกือบทุกที่มีแต่คนเยอะแยะไปหมด และที่พักก็แย่มากด้วย
คำว่า exhausted นั้นเมื่อใช้บรรยายคน ก็จะหมายถึง หมดแรง เหนื่อยมาก เช่น
I am exhausted at the end of the week.
= ฉันหมดแรงทุกทีตอนวันสุดท้ายของสัปดาห์
After we completed the project, all of the employees were exhausted.
= หลังจากที่ทำโครงการเสร็จ พนักงานทั้งหมดหมดแรง
อย่าสับสนกับคำว่า exhaustive ซึ่งอาจจะมีลักษณะคล้ายคำที่กล่าวมา เพราะคำนี้หมายถึง ที่ละเอียด เช่น
The police have made an exhaustive investigation into the scandal.
= ตำรวจได้ทำการสืบสวนเรื่องอื้อฉาวอย่างละเอียด
We need an exhaustive study before making a decision.
= เราต้องการการศึกษาที่ละเอียดก่อนที่จะทำการตัดสินใจ
สำนวน the fate of life ก็คือ ชะตาชีวิต
ส่วน the current of tide ก็คือ กระแสน้ำ
คำว่า current นั้นคือ กระแส ซึ่งสามารถใช้บรรยายกระแสน้ำ กระแสลมหรือกระแสไฟได้ ตามสถานการณ์ต่างๆ เช่น
Strong currents can be very dangerous for tourists.
= กระแสน้ำแรงอาจจะเป็นอันตรายต่อนักท่องเที่ยวได้และคำๆนี้สามารถหมายถึงกระแสไฟก็ได้ เช่น
Electricians have to be careful when they deal with electricity.
= ช่างไฟต้องรอบคอบเวลาทำงานเกี่ยวกับกระแสไฟ
และคำนี้เองก็หมายถึง ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ด้วยเช่น
We need to keep ourselves updated with current news.
= เราต้องทำตัวเราให้ทันเหตุการณ์กับข่าวที่เกิดขึ้น
อยากตาย
อยากตาย
วันนี้ขอสลับนิดหนึ่ง สำนวนที่แล้วเกี่ยวกับการเกิด ก็ต้องมีตาย แต่เชื่อไหม มันมากมายมหาศาล ก็เลยขอเล่าไปเรื่อยๆ เพราะบอกแล้วว่า เรียนอังกฤษสบายๆ ถ้าลำบากแล้วจะไปเรียนมันทำไม เหมือนเรื่องอื่นๆในชีวิต ถ้ามันสบาย ชีวิตมันก็มีความสุข แต่ถ้าทำแล้วมันอึดอัดแล้วผลที่ได้มันไม่สบายนั่นคือการฆ่าตัวตายทางอ้อม วันนี้ก็เลยเสนอคำว่า to die น่ากลัวไหม กลัวทำไม อีกหน่อยเราก็ต้องตายเหมือนกัน ถ้าอยากจะบอกว่า เราตายเมื่อใด เราก็ใช้โครงสร้างว่า
I died at the age of 50. ฉันตายเมื่ออายุ 50 พอไหวไหม ถ้าใครตายตอนอายุเท่าไร เราก็เอาโครงสร้างนี้ไปใช้ เช่น ปู่ฉันตายตอนอายุ 100
My grandpa died at the age of 100.
My husband died at the age 56.
= สามีตายเมื่ออายุ 56
เอาโครงสร้างนี้ไปเขียนดูว่ามีใครในบ้านตายตอนไหน เริ่มไล่ตั้งแต่บรรพบุรุษมาเลย
ทีนี้ก็มาถึงว่า ตายเพราะอะไร เราก็ใช้สำนวนว่า
To die from + โรคที่ตาย เช่น
My son died from Aids.
= ลูกชายตายเพราะเอดส์
His daughter died from cancer.
= ลูกสาวตายเพราะมะเร็ง
His mother died in a car accident.
= แม่เขาตายจากอุบัติเหตุ
แต่บางคนแก่ตาย เราก็บอกว่า He died naturally. =ตายตามธรรมชาติ ก็คือแก่ตายนั่นเอง
คนที่ป่วยตาย เราจะพูดยังไงดี ก็ต้องบอกเขาไปโดยใช้สำนวนว่า to die from + โรคที่เป็น
มาถึงช่วงสุดท้ายของการบรรยายว่า ตายแบบไปสบาย เราก็สามารถใช้ว่า He died peacefully. = เขาตายอย่างสงบ แล้วพวกที่ตายแบบทุกข์ทรมานก็ต้องบอกว่า He suffered a lot when he died. = เขาทุกข์ทรมานมากตอนตาย
ถ้าต้องการพูดว่า อยู่ไปก็ทรมาน ก็พูดได้ว่า If he were alive, he would suffer a lot. (ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ ก็ทรมานมาก ดีแล้ว ) จะบอกว่า His death is good for everyone. = ก็ดีสำหรับทุกคน
และถ้าตายทั้งกลมหรืตายท้องกลมล่ะ ก็ต้องตีความหน่อย มันก็คือการตายขณะท้อง ก็ต้องใช้ว่า She died when she was pregnant. ซึ่งเป็นศัพท์ในบทต้นๆ
คนที่ยังหนุ่มยังสาวแล้วมาตายเราก็มีสำนวนที่น่าเอาไปใช้คือ
คนที่ตาย died + rich (รวย), poor (จน), young (ยังอายุน้อย), happy (สบาย มีความสุข) , suddenly (ซัดเดิ่นลี่) (ทันที)
He died rich. = ตายตอนที่รวย (ไม่ใช่รวยจนตาย ถ้ามี ขอเป็นแบบนั้น)
She died happy. = หล่อนตายแบบมีความสุข
จากนี้คือสำนวนแล้ว คนที่อยากเรียนสำนวนก็เตรียมตัวได้เลยตรับ
be dying for something/to do something สำนวนนี้หมายถึง อยากได้หรืออยากทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนจะตายอยู่แล้ว เช่น
I am dying for Pepsi.
= โอย อยากกินเป๊บซี่จะตายอยู่แล้ว
He is dying to go to Japan.
= เขาอยากจะไปญี่ปุ่นจะตาย
She is dying to eat papaya salad.
= อยากกินส้มตำจะตายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าอยากอะไรมากๆก็เอาสิ่งที่อยากไปใส่ไว้หลัง for + สิ่งที่อยากเป็นคำนาม to + กริยา ก็คือสิ่งที่อยากทำมากจริงๆ
ขอลองทดสอบความรู้หน่อย ดูภาษาไทยที่ให้มาแล้วลองเขียนภาษาอังกฤษออกมาซิ ดูว่าหน้าตาจะเหมือนกันไหม
1. ฉันอยากจะเจอเธอจะตายอยู่แล้ว
2. เขาอยากกินเค๊กจังเลย
3. หล่อนอยากจะเล่นเกมส์มาก
4. พวกเขาอยากเรียนภาษาอังกฤษมาก
5. หล่อนอยากจะเป็นนักร้องจัง
1. I am dying to see you.
2. He is dying for a cake.
3. She is dying to play games.
4. They are dying to learn English.
5. She is dying to be a singer.
และสำนวนสุดแสบก็คือ Old habits die hard. หมายถึง สันดานมันเปลี่ยนยาก (เอางั้นเลย เก็บเอาไว้ใช้พูดตอนที่ใครผู้ใดมีนิสัยที่เรารับไม่ได้) แล้วเคยไหมเวลาที่เราไม่อยากทำอะไรเอามากมากและพูดในใจว่า ให้ทำไอ้นี่ ตายซะดีกว่า แต่ก็ต้องทำ เช่น
I’d rather die than learn English.
= อยากจะตายนัก ที่ต้องเรียนภาษาอังกฤษ แต่ก็ต้องเรียนนะ (เป็นการพูดบ่น) I’d rather die than clean the bathroom.
= อยากจะตายนักที่จะต้องขัดห้องน้ำ เป็นต้น
วันนี้ขอสลับนิดหนึ่ง สำนวนที่แล้วเกี่ยวกับการเกิด ก็ต้องมีตาย แต่เชื่อไหม มันมากมายมหาศาล ก็เลยขอเล่าไปเรื่อยๆ เพราะบอกแล้วว่า เรียนอังกฤษสบายๆ ถ้าลำบากแล้วจะไปเรียนมันทำไม เหมือนเรื่องอื่นๆในชีวิต ถ้ามันสบาย ชีวิตมันก็มีความสุข แต่ถ้าทำแล้วมันอึดอัดแล้วผลที่ได้มันไม่สบายนั่นคือการฆ่าตัวตายทางอ้อม วันนี้ก็เลยเสนอคำว่า to die น่ากลัวไหม กลัวทำไม อีกหน่อยเราก็ต้องตายเหมือนกัน ถ้าอยากจะบอกว่า เราตายเมื่อใด เราก็ใช้โครงสร้างว่า
I died at the age of 50. ฉันตายเมื่ออายุ 50 พอไหวไหม ถ้าใครตายตอนอายุเท่าไร เราก็เอาโครงสร้างนี้ไปใช้ เช่น ปู่ฉันตายตอนอายุ 100
My grandpa died at the age of 100.
My husband died at the age 56.
= สามีตายเมื่ออายุ 56
เอาโครงสร้างนี้ไปเขียนดูว่ามีใครในบ้านตายตอนไหน เริ่มไล่ตั้งแต่บรรพบุรุษมาเลย
ทีนี้ก็มาถึงว่า ตายเพราะอะไร เราก็ใช้สำนวนว่า
To die from + โรคที่ตาย เช่น
My son died from Aids.
= ลูกชายตายเพราะเอดส์
His daughter died from cancer.
= ลูกสาวตายเพราะมะเร็ง
His mother died in a car accident.
= แม่เขาตายจากอุบัติเหตุ
แต่บางคนแก่ตาย เราก็บอกว่า He died naturally. =ตายตามธรรมชาติ ก็คือแก่ตายนั่นเอง
คนที่ป่วยตาย เราจะพูดยังไงดี ก็ต้องบอกเขาไปโดยใช้สำนวนว่า to die from + โรคที่เป็น
มาถึงช่วงสุดท้ายของการบรรยายว่า ตายแบบไปสบาย เราก็สามารถใช้ว่า He died peacefully. = เขาตายอย่างสงบ แล้วพวกที่ตายแบบทุกข์ทรมานก็ต้องบอกว่า He suffered a lot when he died. = เขาทุกข์ทรมานมากตอนตาย
ถ้าต้องการพูดว่า อยู่ไปก็ทรมาน ก็พูดได้ว่า If he were alive, he would suffer a lot. (ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ ก็ทรมานมาก ดีแล้ว ) จะบอกว่า His death is good for everyone. = ก็ดีสำหรับทุกคน
และถ้าตายทั้งกลมหรืตายท้องกลมล่ะ ก็ต้องตีความหน่อย มันก็คือการตายขณะท้อง ก็ต้องใช้ว่า She died when she was pregnant. ซึ่งเป็นศัพท์ในบทต้นๆ
คนที่ยังหนุ่มยังสาวแล้วมาตายเราก็มีสำนวนที่น่าเอาไปใช้คือ
คนที่ตาย died + rich (รวย), poor (จน), young (ยังอายุน้อย), happy (สบาย มีความสุข) , suddenly (ซัดเดิ่นลี่) (ทันที)
He died rich. = ตายตอนที่รวย (ไม่ใช่รวยจนตาย ถ้ามี ขอเป็นแบบนั้น)
She died happy. = หล่อนตายแบบมีความสุข
จากนี้คือสำนวนแล้ว คนที่อยากเรียนสำนวนก็เตรียมตัวได้เลยตรับ
be dying for something/to do something สำนวนนี้หมายถึง อยากได้หรืออยากทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนจะตายอยู่แล้ว เช่น
I am dying for Pepsi.
= โอย อยากกินเป๊บซี่จะตายอยู่แล้ว
He is dying to go to Japan.
= เขาอยากจะไปญี่ปุ่นจะตาย
She is dying to eat papaya salad.
= อยากกินส้มตำจะตายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าอยากอะไรมากๆก็เอาสิ่งที่อยากไปใส่ไว้หลัง for + สิ่งที่อยากเป็นคำนาม to + กริยา ก็คือสิ่งที่อยากทำมากจริงๆ
ขอลองทดสอบความรู้หน่อย ดูภาษาไทยที่ให้มาแล้วลองเขียนภาษาอังกฤษออกมาซิ ดูว่าหน้าตาจะเหมือนกันไหม
1. ฉันอยากจะเจอเธอจะตายอยู่แล้ว
2. เขาอยากกินเค๊กจังเลย
3. หล่อนอยากจะเล่นเกมส์มาก
4. พวกเขาอยากเรียนภาษาอังกฤษมาก
5. หล่อนอยากจะเป็นนักร้องจัง
1. I am dying to see you.
2. He is dying for a cake.
3. She is dying to play games.
4. They are dying to learn English.
5. She is dying to be a singer.
และสำนวนสุดแสบก็คือ Old habits die hard. หมายถึง สันดานมันเปลี่ยนยาก (เอางั้นเลย เก็บเอาไว้ใช้พูดตอนที่ใครผู้ใดมีนิสัยที่เรารับไม่ได้) แล้วเคยไหมเวลาที่เราไม่อยากทำอะไรเอามากมากและพูดในใจว่า ให้ทำไอ้นี่ ตายซะดีกว่า แต่ก็ต้องทำ เช่น
I’d rather die than learn English.
= อยากจะตายนัก ที่ต้องเรียนภาษาอังกฤษ แต่ก็ต้องเรียนนะ (เป็นการพูดบ่น) I’d rather die than clean the bathroom.
= อยากจะตายนักที่จะต้องขัดห้องน้ำ เป็นต้น
Every test in our life
Every test in our life
makes us bitter or better.
Every problem comes
to break us or make us.
The choice is ours ...
whether we become a victim or a victor.
makes us bitter or better.
Every problem comes
to break us or make us.
The choice is ours ...
whether we become a victim or a victor.
ทุกการทดสอบในชีวิตทำให้เราขมขื่นหรือไม่ก็ดีขึ้น
ทุกปัญหาที่เข้ามาก็ทำให้เราพินาศหรือไม่ก็สร้างเราขึ้นมา
ทางเลือกก็เป็นของเรา เราจะยอมแพ้หรือชนะ
คำพูดนี้ดีตรงการใช้คำที่มีเสียงสอดรับกัน เช่น
bitter กับ better , break, make , victim, victor
ทุกปัญหา ที่เกิด กับชีวิต
เราก็มี ส่วนลิขิต อยู่ไม่น้อย
จะล้มเหลว หรือสำเร็จ คงต้องคอย
จะโห่ร้อง หรือร้องโฮ เดี๋ยวรู้กัน
สำนวน bitter ปกติแปลว่า ขม เช่น กาแฟขม ก็ the coffee is bitter.
และก็สามารถเอามาบรรยายชีวิตก็ได้หมายถึง ปวดร้าว
Her voice stirred up bitter memories.
= เสียงของเธอกระตุ้นความทรงจำที่ปวดร้าว
We learn from bitter experience that we should rely on ourselves.
= เราเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ปวดร้าวว่าเราต้องพึ่งตัวเอง
A bitter pill to swallow
= ก็คือ การที่ต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างอกตรม เช่น
Losing to a younger player was a bitter pill to swallow.
= การแพ้ให้กับผู้เล่นที่อายุน้อยกว่าเป็นอะไรที่ต้องกล้ำกลืน
A victim = เหยื่อหรือผู้เคราะห์ร้าย
He is a victim of the flood.
= เขาเป็นเหยื่อของน้ำท่วม
Children are innocent victims of drug.
= เด็กเป็นเหยื่อที่บริสุทธิ์ของยาเสพติด
My uncle is the victim of the car crash.
= ลุงฉันเป็นเหยื่อของรถชน
เราต้องการให้ใครเป็นเหยื่อของอะไรเราก็ใช้โครงสร้างนี้ได้เลย
ผู้ตกเป็นเหยื่อ + is /was + the victim of+ สิ่งที่ไม่ดี ก็ไปหามาใส่ เช่น car accident = อุบัติเหตุทางรถยนต์ , rape = การข่มขืน , physical abuse. การทำร้ายร่างกาย , murder = การฆาตกรรม และอื่นๆอีกมากมายก่ายกอง, robbery = การปล้นจี้
และคนที่ชอบสวมใส่เสื้อผ้าราคาแพง เครื่องประดับสารพัดที่หามาได้ แต่ใส่แล้วมันไม่ได้เข้าหรือดูดี เขาเรียกว่า He / She is a fashion victim.
เห็นวัวและสัตว์ที่ถูกนำมาฆ่าเพื่อบูชาเทพเจ้าหรือความเชื่อไหม เขาเรียกว่า a sacrificial victim เช่น Cows and pigs are sacrificial victims. = วัวและหมูเป็นสัตว์เอาไว้บูชายัญ
ส่วน a victor = a winner = ผู้ชนะ
ทุกปัญหาที่เข้ามาก็ทำให้เราพินาศหรือไม่ก็สร้างเราขึ้นมา
ทางเลือกก็เป็นของเรา เราจะยอมแพ้หรือชนะ
คำพูดนี้ดีตรงการใช้คำที่มีเสียงสอดรับกัน เช่น
bitter กับ better , break, make , victim, victor
ทุกปัญหา ที่เกิด กับชีวิต
เราก็มี ส่วนลิขิต อยู่ไม่น้อย
จะล้มเหลว หรือสำเร็จ คงต้องคอย
จะโห่ร้อง หรือร้องโฮ เดี๋ยวรู้กัน
สำนวน bitter ปกติแปลว่า ขม เช่น กาแฟขม ก็ the coffee is bitter.
และก็สามารถเอามาบรรยายชีวิตก็ได้หมายถึง ปวดร้าว
Her voice stirred up bitter memories.
= เสียงของเธอกระตุ้นความทรงจำที่ปวดร้าว
We learn from bitter experience that we should rely on ourselves.
= เราเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ปวดร้าวว่าเราต้องพึ่งตัวเอง
A bitter pill to swallow
= ก็คือ การที่ต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างอกตรม เช่น
Losing to a younger player was a bitter pill to swallow.
= การแพ้ให้กับผู้เล่นที่อายุน้อยกว่าเป็นอะไรที่ต้องกล้ำกลืน
A victim = เหยื่อหรือผู้เคราะห์ร้าย
He is a victim of the flood.
= เขาเป็นเหยื่อของน้ำท่วม
Children are innocent victims of drug.
= เด็กเป็นเหยื่อที่บริสุทธิ์ของยาเสพติด
My uncle is the victim of the car crash.
= ลุงฉันเป็นเหยื่อของรถชน
เราต้องการให้ใครเป็นเหยื่อของอะไรเราก็ใช้โครงสร้างนี้ได้เลย
ผู้ตกเป็นเหยื่อ + is /was + the victim of+ สิ่งที่ไม่ดี ก็ไปหามาใส่ เช่น car accident = อุบัติเหตุทางรถยนต์ , rape = การข่มขืน , physical abuse. การทำร้ายร่างกาย , murder = การฆาตกรรม และอื่นๆอีกมากมายก่ายกอง, robbery = การปล้นจี้
และคนที่ชอบสวมใส่เสื้อผ้าราคาแพง เครื่องประดับสารพัดที่หามาได้ แต่ใส่แล้วมันไม่ได้เข้าหรือดูดี เขาเรียกว่า He / She is a fashion victim.
เห็นวัวและสัตว์ที่ถูกนำมาฆ่าเพื่อบูชาเทพเจ้าหรือความเชื่อไหม เขาเรียกว่า a sacrificial victim เช่น Cows and pigs are sacrificial victims. = วัวและหมูเป็นสัตว์เอาไว้บูชายัญ
ส่วน a victor = a winner = ผู้ชนะ
Be happy
Be happy.
Be yourself.
If others don’t like it, let them be.
Happiness is a choice.
Life is not pleasing everybody....
จงมีความสุข
ขอให้เป็นตัวของตัวเอง
ถ้าคนอื่นเขาไม่ชอบ ก็ปล่อยเขาไป
ความสุขเป็นสิ่งที่เราเลือกได้
ชีวิตไม่ใช่การทำให้ทุกคนพอใจ
Be yourself.
If others don’t like it, let them be.
Happiness is a choice.
Life is not pleasing everybody....
จงมีความสุข
ขอให้เป็นตัวของตัวเอง
ถ้าคนอื่นเขาไม่ชอบ ก็ปล่อยเขาไป
ความสุขเป็นสิ่งที่เราเลือกได้
ชีวิตไม่ใช่การทำให้ทุกคนพอใจ
สำนวนที่น่ารู้คือ
To please everybody = ทำให้ทุกคนพอใจ
It’s impossible to please everybody.
= เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ทุกคนพอใจ
เราทำได้แค่เพียงบางคน
One thing that I can do is to please only the ones who deserve it.
= สิ่งหนึ่งที่ทำได้คือทำให้คนที่สมควรรู้สึกพอใจก็มากพอแล้ว
เมื่อชีวิตเรามีทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กจนเรื่องใหญ่โตขนาดไหน เราก็ใช้สำนวนว่า ….is a choice. คุณไม่เลือกก็ไม่เป็นไร เช่น Happiness is a choice. = ความสุขคือทางเลือก ไม่ใช่สิ่งที่ต้องบังคับกัน เพราะฉะนั้นใครเศร้าโศกเสียใจ มันก็คือสิ่งที่เขาเลือก Sadness is a choice. เป็นต้น
สำนวน Let them be! ก็คือ ปล่อยให้เขาเป็นอย่างนั้นแหละ เหมือนเราบอกว่า Let it be! ปล่อยให้มันเป็นของมันแบบนั้นแหละ
แต่สำนวนที่ต้องเก็บไว้สอนใจตัวเองก็คือ เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง นั่นคือ Sometimes you have to learn to let go. = บางครั้ง คุณก็ต้องปล่อยมันไป (เดี๋ยวแก่ง่ายตายช้า)
และสำนวนสุดท้ายคือ ปล่อยเนื้อปล่อยตัว บางคนมีครอบครัวแล้ว มีลูกมีเต้าเยอะ ก็ไม่สนใจตัวเอง เขาก็ใช้ว่า
To let oneself go เช่น She lets herself go after she has a baby. = หลังจากมีลูกแล้ว ก็ไม่ค่อยดูแลตัวเอง (ปล่อยเนื้อปล่อยตัว) เพราะรู้ว่าไหนๆมันก็ไม่มีใครมาสนใจแล้ว (มีอะไรหรือเปล่า Any problem? ถามไปเลย)
แต่ถ้าเอาไปใช้กับงานเลี้ยงหรืองานอะไรก็แล้วแต่ที่มันต้องปลดปล่อยตัวเองให้เต็มพิกัด เราก็ใช้สำนวนนี้เช่นกัน It’s a party. Let yourself go. นี่งานเลี้ยงนะเฟ๊ย มันส์เต็มที่ว่างั้น เห็นไหมว่า ทุกอย่างคือเหรียญสองด้าน เพราะฉะนั้น ก็เอาไปใช้ให้ถูกกาลเทศะด้วยครับ
To please everybody = ทำให้ทุกคนพอใจ
It’s impossible to please everybody.
= เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ทุกคนพอใจ
เราทำได้แค่เพียงบางคน
One thing that I can do is to please only the ones who deserve it.
= สิ่งหนึ่งที่ทำได้คือทำให้คนที่สมควรรู้สึกพอใจก็มากพอแล้ว
เมื่อชีวิตเรามีทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กจนเรื่องใหญ่โตขนาดไหน เราก็ใช้สำนวนว่า ….is a choice. คุณไม่เลือกก็ไม่เป็นไร เช่น Happiness is a choice. = ความสุขคือทางเลือก ไม่ใช่สิ่งที่ต้องบังคับกัน เพราะฉะนั้นใครเศร้าโศกเสียใจ มันก็คือสิ่งที่เขาเลือก Sadness is a choice. เป็นต้น
สำนวน Let them be! ก็คือ ปล่อยให้เขาเป็นอย่างนั้นแหละ เหมือนเราบอกว่า Let it be! ปล่อยให้มันเป็นของมันแบบนั้นแหละ
แต่สำนวนที่ต้องเก็บไว้สอนใจตัวเองก็คือ เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง นั่นคือ Sometimes you have to learn to let go. = บางครั้ง คุณก็ต้องปล่อยมันไป (เดี๋ยวแก่ง่ายตายช้า)
และสำนวนสุดท้ายคือ ปล่อยเนื้อปล่อยตัว บางคนมีครอบครัวแล้ว มีลูกมีเต้าเยอะ ก็ไม่สนใจตัวเอง เขาก็ใช้ว่า
To let oneself go เช่น She lets herself go after she has a baby. = หลังจากมีลูกแล้ว ก็ไม่ค่อยดูแลตัวเอง (ปล่อยเนื้อปล่อยตัว) เพราะรู้ว่าไหนๆมันก็ไม่มีใครมาสนใจแล้ว (มีอะไรหรือเปล่า Any problem? ถามไปเลย)
แต่ถ้าเอาไปใช้กับงานเลี้ยงหรืองานอะไรก็แล้วแต่ที่มันต้องปลดปล่อยตัวเองให้เต็มพิกัด เราก็ใช้สำนวนนี้เช่นกัน It’s a party. Let yourself go. นี่งานเลี้ยงนะเฟ๊ย มันส์เต็มที่ว่างั้น เห็นไหมว่า ทุกอย่างคือเหรียญสองด้าน เพราะฉะนั้น ก็เอาไปใช้ให้ถูกกาลเทศะด้วยครับ
เกิด
เกิด
วันนี้ขอเสนอคำว่า เกิด หลายคนคงนึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้หรือเปล่า โลกใบนี้มันจะเกิดอะไรมันก็เรื่องของมัน แต่อะไรมันจะเกิดกับคุณนี่ซิ น่าสนใจ คำว่าเกิด ในภาษาอังกฤษ มีที่ใช้เยอะแยะ เราจะเลือกเฉพาะคำที่มันส่งผลต่อชีวิตของผู้อ่านก็แล้วกัน
เวลาเราต้องจะบอกว่า ฉันเกิดเมื่อวานนี้ เราก็จะใช้สำนวน was/ were born + เวลาที่เกิด เช่น
เขาเกิดเมื่อปีที่แล้ว = He was born last year.
ฉันเกิดเมื่อปี 1985 = I was born in 1985.
เรียกว่าเกิดเมื่อไหร่ ก็ใส่ in + ปีที่เกิดลงไป
เราลองไปไล่ดูซิว่าคนในบ้านเกิดเมื่อไรกันบ้าง เช่น My mom was born in…. ก็ว่ากันไป ไปเอามาให้ครบ บ้านไหนคนเกิดเยอะก็จะมีข้อมูลเยอะตามนั้น
ตอนนี้ เราจะมาดูต่อว่า เกิดเดือนอะไร ก็เอาเดือนนั้นมาใส่ เช่น ฉันเกิดเดือนเมษายน ปี 1958 ก็จะได้ประโยคว่า I was born in April 1985.
ส่วนต้องการจะบอกว่าเกิดที่ไหน ก็ใช้ in + สถานที่เกิด
เช่น She was born in the US. = หล่อนเกิดในอเมริกา เป็นต้น
แต่ถ้าเกิดวันไหน วันที่เท่าไร ให้ใช้ “on” เช่น I was born on Sunday. = ฉันเกิดวันอาทิตย์
He was born on the first.= เขาเกิดมาวันที่ 1
ต่อไป เราจะมาดูว่าคำว่า เกิด นั้นฝรั่งเขาเอามาใช้บรรยายอะไรได้บ้างและพวกเราสามารถนำอะไรมาใช้ได้บ้าง
นี่ เธอ คนนั้นเขาเกิดมาโชคดีเนอะ ก็ He was born lucky. ใส่คำว่า โชคดีเข้าไปเลย
จำโครงสร้างนี้ไว้ให้ดีนะครับ
คนที่เกิด + was / were born + สิ่งต่อไปนี้
เกิดมาโชคร้ายก็ unlucky
เกิดมาตาบอดก็ blind
เกิดมาหูหนวกก็ deaf
เกิดมาจนก็ poor
เกิดมารวยก็ rich
เกิดมาสวยก็ beautiful
เกิดมาอัปลักษณ์ก็ ugly
เกิดมาน่ารัก pretty ใช้ได้หมด หามาใส่ได้เลย
ตัวอย่างเช่น
She was born beautiful.
= หล่อนเกิดมาสวย เป็นต้น ไปหัดเขียนประโยคให้เยอะๆว่าคนที่เรารู้จักนั้นเกิดมาแล้วมีสภาพเป็นอย่างไร แล้วคุณจะรู้ว่า การที่คุณฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆ ภาษาของคุณจะดีเอง
เกิดมาไม่มีแขนขาก็ without arms and legs
เวลาต้องการจะบรรยายว่า เกิดมาแล้วไม่มีอะไร เราก็ใส่คำว่า without + อวัยวะที่หายไป เช่น
เขาเกิดมาไม่มีหู ก็ใช้ว่า He was born without ears. เป็นอันเข้าใจตามนี้
หรือต้องการอธิบายว่า เกิดมาก็เป็นโรคนั้นโรคนี้ก็ใช้ว่า
He was born with Aids. (ตามด้วยชื่อโรคที่เป็นมา) โอเคไหม
นอกจากสำนวนที่บรรยายว่าเกิดมาโชคดี โชคร้าย หรือไม่มีอะไรแล้ว เราสามารถบรรยายต่อได้อีกว่า คนๆนี้เกิดมาเพื่อเป็น…. เช่น เขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอ
เราก็สามารถพูดได้ว่า
He was born to be a doctor.
โปรดจำโครงสร้างว่า คนที่เราพูดถึง was born to be…. สิ่งที่เขาเป็น
ทีนี้ เราก็มาไล่ดูซิว่า ใครเกิดมาแล้วเขาเก่งด้านไหน เชี่ยวชาญอะไร เราก็บรรยายเข้าไป พวกนี้เป็นพวกที่ฟ้าส่งมาแล้วกำหนดให้เป็นหมด เช่น
Madonna was born to be a singer.
= มาดอนน่าเกิดมาเพื่อเป็นนักร้อง
My friend was born to be a doctor.
= เพื่อนฉันเกิดมาเพื่อเป็นหมอ
I was born to be a policeman.
= ฉันเกิดมาเพื่อเป็นตำรวจ
เพราะฉะนั้น ท่านผู้อ่านต้องไปสำรวจประชากรในบ้านและรอบบ้านที่เขาเกิดมาเพื่อเป็นอะไรกัน ก็ไปหาอาชีพมากระหน่ำใส่ไปเลย
จากนี้ไป จะเป็นส่วนที่ยากขึ้นมาอีกติ๊ดหนึ่ง ซึ่งหากท่านไม่ไหว ก็ต้องพัก จะพักนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับท่าน จะพักไปเลยก็ได้ แต่คนเขียนพักไม่ได้เพราะมันเกี่ยวเนื่องกัน อารมณ์มันเริ่มเข้ามา ก็ต้องเขียนให้มันเสร็จ ขืนพักแล้วรอกว่าอารมณ์มันจะมาอีกรอบ เผลอ ๆ เขียนไม่เหมือนเดิม หรือไม่อยากเขียนแล้วมันจะยุ่ง
และนี่คือสำนวนแล้วครับท่าน
ถ้าต้องการบอกว่า คนๆนี้เกิดที่ไหนและโตที่ไหน เราจะบรรยายด้วยโครงสร้าง
She was born in the US and raised in Roiet.
= เธอเกิดที่สหรัฐแต่ดั๊นมาโตที่ร้อยเอ็ด
He was born in Chonburi and raised in Bangkok.
= เขาเกิดที่ชลบุรีแต่มาโตที่กรุงเทพ
ผู้อ่านสามารถเลือกสำนวนต่อไปนี้ได้คือ
คนๆนั้น was born in…สถานที่ ..and raised in….
สถานที่
คนๆนั้น was born in…สถานที่ ..and bred in….
สถานที่
คนๆนั้น was born in…สถานที่ ..and grew up in….สถานที่ เลือกเอามาสักสำนวนหนึ่งที่เราชอบ แล้วก็เอาไปใช้เยอะๆ
ขอแถมอีกอันหนึ่งสำหรับคนที่อยากรู้เพิ่ม ก็คือสำนวนว่า คนๆนั้นเขาเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว ก็คือ เกิดมาปุ๊บเป็นแบบนั้นปั๊บ เช่น
She is always mean. She was born that way.
= เธอมักจะใจร้าย เธอเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว ทำใจซะ เธอเกิดมาก็เป็นแบบนั้นซะแล้ว โธ่
He looks down on people. He was born that way.
= เขาชอบดูถูกคนอื่น เปลี่ยนไม่ได้แล้ว เกิดมาก็เป็นแบบนี้เลย
That guy is wicked. He was born that way.
= ชายคนนั้นชั่วช้านัก แต่ก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ เป็นมาตั้งแต่เกิด
เรียกว่า จะว่าใครว่าเป็นแบบไหน ชั่วช้าสามานย์ (wicked) ขี้เหนียว (stingy) ขี้หึง (possessive)ขี้โมโห (angry) ก็หลอกด่าไปก่อนด้วยประโยคแรก แล้วก็ด่าอีกทีด้วยประโยคที่สอง ก็จะเป็นที่รู้กันแล้วว่า มันเป็นเช่นนั้นตั้งแต่เกิด
ส่วนนี้เป็นสำนวนจริงแล้ว ถ้ารู้ตัวว่าความสามารถไม่ถึง หลบไป
I was not born yesterday.
= ฉันไม่ใช่เด็กเมื่อวานซืนนะ (จะมาหลอกกันง่ายๆ ฝันไป)
สำนวนนี้เอาไว้ใช้บอกว่าเราไม่ใช่ไอ้โง่ที่ไหน
แต้ถ้าคุณบอกว่า You were born yesterday. มันจะหมายถึง ไอ้เด็กเมื่อวานซืน (อย่ามาซ่าส์ กระดูกคนละเบอร์ ไปโน่นเลย)
ส่วนคนไหนที่เกิดมาแบบพ่อแม่มีสมบัติพัสถานไว้เยอะ เขาก็จะใช้ว่า
She was born with a silver spoon in her mouth.
= เธอเกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทองออกมาด้วย
(แต่ฝรั่งเขาไม่มีช้อนทองมั๊ง เลยไม่ยอมเขียน)
เราต้องการบรรยายว่าใครรวยแบบนี้ ก็เอาคนๆนั้นไปแทนที่ เช่น
สมเสร็จเกิดมารวยเหมือนคาบช้อนเงินช้อนทองออกมา เราก็ใช้ว่า Tom was born with a spoon in his mouth. น่าจะโอเคนะ แต่ถ้ามีตัวเงินตัวทองตามออกมาด้วย ก็ตัวใครตัวมัน ตัวเงินตัวทองฝรั่งเขาใช้ว่า salamander (ซา ลา แมน เดอร์) อย่าไปด่าฝรั่งเขาว่า You are a salamander. เขาไม่รู้เรื่องหรอกนะ เขาจะหาว่าคุณสติเสีย
และสุดท้ายแล้ว เวลาเราจะว่าใครว่า ไอ้ขี้แพ้ เราจะใช้ว่า You are a born loser. = แพ้ตลอด หรือ เกิดมาเพื่อแพ้
วันนี้ขอเสนอคำว่า เกิด หลายคนคงนึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้หรือเปล่า โลกใบนี้มันจะเกิดอะไรมันก็เรื่องของมัน แต่อะไรมันจะเกิดกับคุณนี่ซิ น่าสนใจ คำว่าเกิด ในภาษาอังกฤษ มีที่ใช้เยอะแยะ เราจะเลือกเฉพาะคำที่มันส่งผลต่อชีวิตของผู้อ่านก็แล้วกัน
เวลาเราต้องจะบอกว่า ฉันเกิดเมื่อวานนี้ เราก็จะใช้สำนวน was/ were born + เวลาที่เกิด เช่น
เขาเกิดเมื่อปีที่แล้ว = He was born last year.
ฉันเกิดเมื่อปี 1985 = I was born in 1985.
เรียกว่าเกิดเมื่อไหร่ ก็ใส่ in + ปีที่เกิดลงไป
เราลองไปไล่ดูซิว่าคนในบ้านเกิดเมื่อไรกันบ้าง เช่น My mom was born in…. ก็ว่ากันไป ไปเอามาให้ครบ บ้านไหนคนเกิดเยอะก็จะมีข้อมูลเยอะตามนั้น
ตอนนี้ เราจะมาดูต่อว่า เกิดเดือนอะไร ก็เอาเดือนนั้นมาใส่ เช่น ฉันเกิดเดือนเมษายน ปี 1958 ก็จะได้ประโยคว่า I was born in April 1985.
ส่วนต้องการจะบอกว่าเกิดที่ไหน ก็ใช้ in + สถานที่เกิด
เช่น She was born in the US. = หล่อนเกิดในอเมริกา เป็นต้น
แต่ถ้าเกิดวันไหน วันที่เท่าไร ให้ใช้ “on” เช่น I was born on Sunday. = ฉันเกิดวันอาทิตย์
He was born on the first.= เขาเกิดมาวันที่ 1
ต่อไป เราจะมาดูว่าคำว่า เกิด นั้นฝรั่งเขาเอามาใช้บรรยายอะไรได้บ้างและพวกเราสามารถนำอะไรมาใช้ได้บ้าง
นี่ เธอ คนนั้นเขาเกิดมาโชคดีเนอะ ก็ He was born lucky. ใส่คำว่า โชคดีเข้าไปเลย
จำโครงสร้างนี้ไว้ให้ดีนะครับ
คนที่เกิด + was / were born + สิ่งต่อไปนี้
เกิดมาโชคร้ายก็ unlucky
เกิดมาตาบอดก็ blind
เกิดมาหูหนวกก็ deaf
เกิดมาจนก็ poor
เกิดมารวยก็ rich
เกิดมาสวยก็ beautiful
เกิดมาอัปลักษณ์ก็ ugly
เกิดมาน่ารัก pretty ใช้ได้หมด หามาใส่ได้เลย
ตัวอย่างเช่น
She was born beautiful.
= หล่อนเกิดมาสวย เป็นต้น ไปหัดเขียนประโยคให้เยอะๆว่าคนที่เรารู้จักนั้นเกิดมาแล้วมีสภาพเป็นอย่างไร แล้วคุณจะรู้ว่า การที่คุณฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆ ภาษาของคุณจะดีเอง
เกิดมาไม่มีแขนขาก็ without arms and legs
เวลาต้องการจะบรรยายว่า เกิดมาแล้วไม่มีอะไร เราก็ใส่คำว่า without + อวัยวะที่หายไป เช่น
เขาเกิดมาไม่มีหู ก็ใช้ว่า He was born without ears. เป็นอันเข้าใจตามนี้
หรือต้องการอธิบายว่า เกิดมาก็เป็นโรคนั้นโรคนี้ก็ใช้ว่า
He was born with Aids. (ตามด้วยชื่อโรคที่เป็นมา) โอเคไหม
นอกจากสำนวนที่บรรยายว่าเกิดมาโชคดี โชคร้าย หรือไม่มีอะไรแล้ว เราสามารถบรรยายต่อได้อีกว่า คนๆนี้เกิดมาเพื่อเป็น…. เช่น เขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอ
เราก็สามารถพูดได้ว่า
He was born to be a doctor.
โปรดจำโครงสร้างว่า คนที่เราพูดถึง was born to be…. สิ่งที่เขาเป็น
ทีนี้ เราก็มาไล่ดูซิว่า ใครเกิดมาแล้วเขาเก่งด้านไหน เชี่ยวชาญอะไร เราก็บรรยายเข้าไป พวกนี้เป็นพวกที่ฟ้าส่งมาแล้วกำหนดให้เป็นหมด เช่น
Madonna was born to be a singer.
= มาดอนน่าเกิดมาเพื่อเป็นนักร้อง
My friend was born to be a doctor.
= เพื่อนฉันเกิดมาเพื่อเป็นหมอ
I was born to be a policeman.
= ฉันเกิดมาเพื่อเป็นตำรวจ
เพราะฉะนั้น ท่านผู้อ่านต้องไปสำรวจประชากรในบ้านและรอบบ้านที่เขาเกิดมาเพื่อเป็นอะไรกัน ก็ไปหาอาชีพมากระหน่ำใส่ไปเลย
จากนี้ไป จะเป็นส่วนที่ยากขึ้นมาอีกติ๊ดหนึ่ง ซึ่งหากท่านไม่ไหว ก็ต้องพัก จะพักนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับท่าน จะพักไปเลยก็ได้ แต่คนเขียนพักไม่ได้เพราะมันเกี่ยวเนื่องกัน อารมณ์มันเริ่มเข้ามา ก็ต้องเขียนให้มันเสร็จ ขืนพักแล้วรอกว่าอารมณ์มันจะมาอีกรอบ เผลอ ๆ เขียนไม่เหมือนเดิม หรือไม่อยากเขียนแล้วมันจะยุ่ง
และนี่คือสำนวนแล้วครับท่าน
ถ้าต้องการบอกว่า คนๆนี้เกิดที่ไหนและโตที่ไหน เราจะบรรยายด้วยโครงสร้าง
She was born in the US and raised in Roiet.
= เธอเกิดที่สหรัฐแต่ดั๊นมาโตที่ร้อยเอ็ด
He was born in Chonburi and raised in Bangkok.
= เขาเกิดที่ชลบุรีแต่มาโตที่กรุงเทพ
ผู้อ่านสามารถเลือกสำนวนต่อไปนี้ได้คือ
คนๆนั้น was born in…สถานที่ ..and raised in….
สถานที่
คนๆนั้น was born in…สถานที่ ..and bred in….
สถานที่
คนๆนั้น was born in…สถานที่ ..and grew up in….สถานที่ เลือกเอามาสักสำนวนหนึ่งที่เราชอบ แล้วก็เอาไปใช้เยอะๆ
ขอแถมอีกอันหนึ่งสำหรับคนที่อยากรู้เพิ่ม ก็คือสำนวนว่า คนๆนั้นเขาเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว ก็คือ เกิดมาปุ๊บเป็นแบบนั้นปั๊บ เช่น
She is always mean. She was born that way.
= เธอมักจะใจร้าย เธอเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว ทำใจซะ เธอเกิดมาก็เป็นแบบนั้นซะแล้ว โธ่
He looks down on people. He was born that way.
= เขาชอบดูถูกคนอื่น เปลี่ยนไม่ได้แล้ว เกิดมาก็เป็นแบบนี้เลย
That guy is wicked. He was born that way.
= ชายคนนั้นชั่วช้านัก แต่ก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ เป็นมาตั้งแต่เกิด
เรียกว่า จะว่าใครว่าเป็นแบบไหน ชั่วช้าสามานย์ (wicked) ขี้เหนียว (stingy) ขี้หึง (possessive)ขี้โมโห (angry) ก็หลอกด่าไปก่อนด้วยประโยคแรก แล้วก็ด่าอีกทีด้วยประโยคที่สอง ก็จะเป็นที่รู้กันแล้วว่า มันเป็นเช่นนั้นตั้งแต่เกิด
ส่วนนี้เป็นสำนวนจริงแล้ว ถ้ารู้ตัวว่าความสามารถไม่ถึง หลบไป
I was not born yesterday.
= ฉันไม่ใช่เด็กเมื่อวานซืนนะ (จะมาหลอกกันง่ายๆ ฝันไป)
สำนวนนี้เอาไว้ใช้บอกว่าเราไม่ใช่ไอ้โง่ที่ไหน
แต้ถ้าคุณบอกว่า You were born yesterday. มันจะหมายถึง ไอ้เด็กเมื่อวานซืน (อย่ามาซ่าส์ กระดูกคนละเบอร์ ไปโน่นเลย)
ส่วนคนไหนที่เกิดมาแบบพ่อแม่มีสมบัติพัสถานไว้เยอะ เขาก็จะใช้ว่า
She was born with a silver spoon in her mouth.
= เธอเกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทองออกมาด้วย
(แต่ฝรั่งเขาไม่มีช้อนทองมั๊ง เลยไม่ยอมเขียน)
เราต้องการบรรยายว่าใครรวยแบบนี้ ก็เอาคนๆนั้นไปแทนที่ เช่น
สมเสร็จเกิดมารวยเหมือนคาบช้อนเงินช้อนทองออกมา เราก็ใช้ว่า Tom was born with a spoon in his mouth. น่าจะโอเคนะ แต่ถ้ามีตัวเงินตัวทองตามออกมาด้วย ก็ตัวใครตัวมัน ตัวเงินตัวทองฝรั่งเขาใช้ว่า salamander (ซา ลา แมน เดอร์) อย่าไปด่าฝรั่งเขาว่า You are a salamander. เขาไม่รู้เรื่องหรอกนะ เขาจะหาว่าคุณสติเสีย
และสุดท้ายแล้ว เวลาเราจะว่าใครว่า ไอ้ขี้แพ้ เราจะใช้ว่า You are a born loser. = แพ้ตลอด หรือ เกิดมาเพื่อแพ้